โกจิเบอร์รี่มีอะไรดีๆ กว่าที่คิด 😁😁


          โกจิเบอร์รี หรือเก๋ากี้ สมุนไพรจีนที่ถูกเรียกขานว่ายาอายุวัฒนะ ล่าสุดแว่ว ๆ ว่าโกจิเบอร์รีก็ช่วยลดน้ำหนักได้ เฮ้ย…จริงอะ ?!


          ต้องบอกว่ากระแสลดน้ำหนัก ปลุกให้คนหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น อย่างอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักได้ ก็ถูกค้นพบและลิ้มลองกันมาเรื่อย ๆ โดยโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันค่ะ ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะขอนำโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้มาสาธยายกันหมดเปลือก ให้ได้รู้ประโยชน์ของโกจิเบอร์รีครบทุกประเด็นสงสัย โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้ เท็จจริงแค่ไหนมาดู

โกจิเบอร์รี รู้จักกันหน่อย

          โกจิเบอร์รี (GOJI BERRY) นี่คือชื่อในวงการอินเตอร์ค่ะ แต่แท้จริงแล้วโกจิเบอร์รีก็คือเก๋ากี้ สมุนไพรจีนที่มีมานานเป็นประวัติกาลเลยทีเดียว โดยโกจิเบอร์รีเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี มีสรรพคุณเด่น ๆ ที่คนในแถบเอเชียรู้จักกันดีในเรื่องความอุดมไปด้วยสารอาหารมากที่สุด 
    
          นอกจากนี้ผลการวิจัยของ Dr.Earl Mindell ยังช่วยตอกย้ำความจริงที่ว่า ผลโกจิเบอร์รีให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก โดยมีกรดอะมิโน 19 ชนิด มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการรวม 21 ชนิด ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม (ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง) มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 และวิตามินอี ช่วยปรับความดันโลหิตให้เป็นปกติ และช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้กลับสู่ภาวะป­กติได้เร็วขึ้น 

โกจิเบอร์รี

โกจิเบอร์รี เพื่อการลดน้ำหนัก ช่วยได้มากน้อยแค่ไหน

          Dr.Earl Mindell ได้ค้นคว้าประโยชน์ของโกจิเบอร์รีแล้วพบว่า โกจิเบอร์รีช่วยเปลี่ยนอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นพลังงานแทนไขมัน ดังนั้นจะบอกว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้ก็ไม่ผิดนัก
    
          อีกทั้งโกจิเบอร์รียังอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิดอย่างที่กล่าวไปข้างต้น จึงนับเป็นซูเปอร์ฟู้ด ชนิดหนึ่งที่ให้พลังงานกับร่างกายได้เต็มเปี่ยม นอกจากนี้โกจิเบอร์รียังมีรสหวานจากกลูโคส และมีไฟเบอร์สูงพอสมควร จึงช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เราไม่รู้สึกหิวจุบจิบ แถมไฟเบอร์ที่มีอยู่ก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความอยากอาหารสารพัดอย่าง และช่วยลดปริมาณอาหารที่จะกินในมื้อต่อ ๆ ไปได้

          มาถึงตรงนี้ ประเด็นที่ว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหมก็คงได้คำตอบกันไปแล้วนะคะ แต่นอกจากประโยชน์ในเรื่องลดความอ้วนแล้ว โกจิเบอร์รียังมีประโยชน์ตามนี้อีกด้วย

โกจิเบอร์รี
 
โกจิเบอร์รี หรือเก๋ากี้ สรรพคุณเด่น ๆ จากผลไม้สีแดง
 
เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้มีความสุข

          จากผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Alternative and Complementary Medicine เมื่อปี 2008 พบว่า อาสาสมัครที่ดื่มน้ำโกจิเบอร์รีเป็นประจำ นาน 15 วัน มีแนวโน้มสุขภาพแข็งแรงขึ้น อธิบายให้ชัดคือรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากกว่าที่เคยเป็น นอนหลับได้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นด้วย 
    
          ซึ่งเมื่อทดลองดื่มน้ำโกจิเบอร์รีต่อไปเรื่อย ๆ ก็ค้นพบว่า กลุ่มอาสาสมัครมีความเครียดน้อยลง ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าลดลง ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และมีแนวโน้มความสุขสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ดื่มน้ำโกจิเบอร์รีเป็นประจำ
    
ปกป้องผิวจากรังสียูวี

          ผลการทดลองกับหนูที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Photochemical and Photobiological Sciences ปี 2010 พบว่า หนูที่กินน้ำโกจิเบอร์รีจะมีแนวโน้มต้านรังสียูวีและการอักเสบที่เกิดจากรังสียูวีแผดเผาได้มากกว่าหนูที่ไม่ได้กินน้ำโกจิเบอร์รี 
    
          ทั้งนี้นักวิจัยได้อ้างผลการศึกษาไว้ว่า อาจเป็นเพราะสารต้านอนุมูลอิสระในผลโกจิเบอร์รี ที่มีส่วนช่วยปกป้องและรักษาผิวจากรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บำรุงสายตา

          โกจิเบอร์รีมีสารทัวรีน (Taurine) ซึ่งผลการศึกษาจาก Optometry and Vision Science เมื่อปี 2011 พบว่า สารทัวรีนมีคุณสมบัติบำรุงสายตาให้แจ่มใส โดยเฉพาะสายตาของผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาสายตาอันสืบเนื่องมาจากโรคเบาหวาน

โกจิเบอร์รี

ต้านเซลล์มะเร็ง

          ด้วยความที่โกจิเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงสามารถปกป้องเซลล์ร่างกายจากการถูกทำลายด้วยเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระของโกจิเบอร์รียังช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เกิดการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากความเสื่อมต่าง ๆ และป้องกันการเกิดเนื้องอกได้อีกด้วยนะคะ 
    

          โดยทั้งหมดนี้เราก็ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอย ๆ แต่ยืนยันด้วยผลการศึกษาจากวารสาร Agricultural and Food Chemistry เมื่อปี 2008 ต่างหากจ้า

มีประโยชน์ต่อตับ และป้องกันอัลไซเมอร์

          การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology พบว่า ผลโกจิเบอร์รีช่วยลดความเสียหายของตับในหนูทดลองที่ได้รับสารเคมีที่เป็นพิษลงได้ โดยนักวิจัยคาดว่าคุณสมบัติในการป้องกันนี้อาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระในโกจิเบอร์รีนั่นเอง
    
          นอกจากนี้การศึกษาเบื้องต้นในสัตว์ทดลองยังพบว่า โกจิเบอร์รีอาจช่วยให้น้ำตาลในเลือดสมดุล และนักวิจัยคาดว่านี่ยังอาจช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้ด้วย

โกจิเบอร์รี กินอย่างไร 

          แต่เดิมคนจีนมักจะนำโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ไปใส่ในซุป ใส่ลงไปในถ้วยชา เพราะส่วนมากแล้วเราจะเห็นโกจิเบอร์รีในรูปแบบอบแห้งมากกว่าผลสด ๆ จึงต้องนำโกจิเบอร์รีอบแห้งไปแช่หรือผสมในอาหารประเภทน้ำ ๆ หรือเหล่าเครื่องดื่มอย่างชา ไวน์ น้ำผลไม้ปั่น เป็นต้น
    
          ทว่าจริง ๆ แล้วโกจิเบอร์รีก็มีความคล้ายคลึงกับลูกเกดไม่น้อยนะคะ อีกทั้งปัจจุบันก็มีโกจิเบอร์รีอบแห้งที่สามารถกินเล่นเพลิน ๆ วางจำหน่ายแล้วด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหากจะนำโกจิเบอร์รีไปผสมกับโยเกิร์ต สลัด ขนมปังปิ้ง หรือในซีเรียลก็ได้เช่นกัน หรือใครจะลองหาซื้อน้ำโกจิเบอร์รีสำเร็จรูปมาดื่มก็สะดวกดี

โกจิเบอร์รี

โกจิเบอร์รี ซื้อที่ไหน
          
          ณ จุดนี้เรามีโกจิเบอร์รีวางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้วล่ะค่ะ ลองเดินหาแถบ ๆ ชั้นที่มีลูกเกดวางขาย หรือถ้าไม่เจอจะลองไปโซนอาหารแถบ ๆ เครื่องเทศ เครื่องปรุงยาจีนก็น่าจะมีอยู่ ส่วนสนนราคาก็ไม่แพง มีตั้งแต่โกจิเบอร์รี ราคา 30 บาทขึ้นไป แล้วแต่ปริมาณที่จะซื้อ และร้านค้าที่ไปซื้อนะคะ

โกจิเบอร์รี กินแค่ไหนถึงจะดี ?

          อย่างที่บอกว่าปัจจุบันนี้มีโกจิเบอร์รีในรูปผลไม้อบแห้ง ซึ่งกินเล่นได้สบาย ๆ ดังนั้นหลายคนอาจกังวลว่าจะบริโภคโกจิเบอร์รีมากเกินความพอดีหรือเปล่า ซึ่งปริมาณที่ควรบริโภคโกจิเบอร์รีควรจะอยู่ที่ 6-18 กรัมต่อวัน ส่วนน้ำโกจิเบอร์รีก็ไม่ควรดื่มเกินวันละ 4 ออนซ์ (ประมาณ 118 มิลลิลิตร) นะคะ และอย่าลืมบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามสัดส่วนที่พอดีด้วย

          ทั้งนี้ก่อนรับประทานโกจิเบอร์รีอาจต้องลองปรึกษาแพทย์ก่อนด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต หรือผู้ที่กินยาบางอย่างเป็นประจำ เพราะโกจิเบอร์รีอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวยาบางชนิดได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตและยาขยายหลอดเลือด เป็นต้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

livestrong 
WebMd
Healthline
www.kapook.com

ลดน้ำหนักแบบกล้วยๆ 😊😊


กินกล้วยแล้วได้อะไร? : สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่
1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า 
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม 
3. มีเส้นใยอาหาร (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี 
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่ 
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย 
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง 
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น 
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย

ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า : วิธีปฏิบัติ
1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว เป็นต้น ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
2. เครื่องดื่มที่ดื่มควบคู่กับกล้วยหอมตอนเช้าคือน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
3. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป
4. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ซึ่งการกินข้าวเย็นแต่เร็ววัน ถึงแม้จะกินเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
6. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ พยายามนอนก่อนเที่ยงคืนให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้าซึ่งจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพผอมได้ง่าย
7. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนรู้สึกทรมาน การไดเอ็ทจะไม่ได้ผล
8.จดบันทึกไดเอ็ทไดอารี่ให้เป็นนิสัย และเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจอย่างหนึ่ง
กินกล้วยหอม 2-4 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตามจนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า ที่มาที่ไปของสูตรลดความอ้วนด้วยกล้วยนั้น มาจากเภสัชกรนางหนึ่ง ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับสามีที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผลจากสูตรนี้ทำให้ลดน้ำหนักลงได้ถึง 16.6 กิโลกรัม เธอจึงแนะนำสูตรนี้ลงบน MIXI ชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และมียอดขายถล่มทลายขายเกิน 1 ล้านเล่มในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการแปลในหลายภาษา
ที่มา: หนังสือ “Asa Banana Diet” โดย “ฮามาจิ” เว็บไซต์ www.asabanana.net