ผิวขาว สวย ใส ทำได้ไม่ยากเลย ภายใน 1 อาทิตย์

วิธีทำให้ผิวขาวเร็วภายใน 1 อาทิตย์ จะต้องทำวิธีไหนถึงจะได้ผลและปลอดภัย กระปุกดอทคอมคอมมีเคล็ดลับมาบอกค่ะ
           อากาศร้อน ๆ แสงแดดแรง ๆ แบบนี้ ออกนอกบ้านแป๊บเดียวบอกเลยว่าแทบไหม้ !! แต่ถ้าหากร้อนอย่างเดียวคงไม่เท่าไร แต่พาลทำให้ผิวดำคล้ำเสียด้วยนี่สิมันช่างทำให้รู้สึกแย่แบบสุด ๆ กลับกลายเป็นว่าบำรุงผิวขาวมาตั้งนมนาน หมดสวยกันก็คราวนี้แหละ เอาเป็นว่าถ้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ก็อย่ามัวแต่ปล่อยให้ผิวดำคล้ำเสียนาน ๆ กันอยู่เลยค่ะ รีบมาหาวิธีทำให้ผิวขาวเร็ว ๆ กันดีกว่า นั่นแน่... ได้ยินแบบนี้แล้วอดใจรอไม่ไหว อยากจะเร่งให้ผิวขาวเร็ว ๆ กันแล้วใช่ไหมล่ะคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาทำตามเคล็ดลับที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันเลยดีกว่า วิธีนี้แหละช่วยได้แน่นอน
           ใช้ไวท์เทนนิ่งสูตรเข้มข้น โดยให้เลือกใช้ไวท์เทนนิ่งสูตรเข้มข้นที่ออกฤทธิ์ในระยะสั้น ๆ และควรเลือกใช้สูตรเซรั่ม เพราะจะสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี โดยให้ทาเยอะ ๆ ทั้งเช้าและเย็น จะทำให้ผิวของคุณขาวได้เร็วยิ่งขึ้น

           ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน ก่อนออกจากบ้านให้ทาครีมกันแดด SPF สูง ๆ ตั้งแต่ 50+ ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แสงแดดมาทำลาย รวมถึงใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวเข้าไว้เพื่อปกป้องผิวอีกชั้นหนึ่ง


             พอกผิวด้วยโยเกิร์ต โดยให้นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ มาพอกผิวทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออก ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ผิวไหม้คล้ำเสียจากแดดอาการดีขึ้น ที่สำคัญยังจะช่วยบำรุงให้ผิวขาวและสดใสเนียนนุ่มขึ้นด้วย

           สครับผิวด้วยมะขามเปียก ใน 1 อาทิตย์ ให้ทำอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป โดยให้นำเนื้อมะขามเปียกผสมกับนมสดให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว แล้วนำมาขัดให้ทั่วทั้งตัว ทาวนเพียงเบา ๆ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด

            รับประทานวิตามินซี อย่างน้อยต้องรับประทานวิตามินซีให้ได้ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยปรับผิวให้ขาวใสขึ้นและช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรงสามารถทนแดดได้ดียิ่งขึ้นด้วย

           เน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักสดและผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน จะช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวสว่างใสเป็นธรรมชาติได้จากภายใน และยังช่วยปกป้องผิวหมองคล้ำจากแดดได้ดี

           ดื่มน้ำบ่อย ๆ ในหนึ่งวันต้องพยายามดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 7-8 แก้ว เพราะน้ำมีส่วนในการช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้นและขาวใสขึ้นได้

         และนี่ก็คือวิธีฟื้นฟูผิวให้ขาวสว่างใสขึ้นได้ภายใน 1 อาทิตย์ รับรองเลยว่าแค่คุณสาว ๆ ปฏิบัติตามวิธีที่กระปุกดอทคอมแนะนำไปนี้อย่างเคร่งครัด แค่ 7 วัน รับรองเห็นผลแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม !

แต่ถ้าสาวๆ ต้องการเห็นผลระยะยาวผลิตภัณฑ์แนวอาหารเสริมก็สามารถช่วยได้นะค่ะ
คลิกลิ้งค์ >>>
http://www.salefestival.com/affilate.php?url=http://www.salefestival.com/P80/&affilate=offer121AF2816







การป้องกันสิวไม่ให้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

การป้องกันสิวไม่ให้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

ถ้าหากคุณสาวๆ ไม่อยากเป็นสิว โปรดงดพฤติกรรม และปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังต่อไปนี้

1. ห้ามแต่งหน้าแล้วล้างหน้าโดยไม่ใช้คลีนชิ่ง การล้างเครื่องสำอางโดยน้ำเปล่า ยังทำให้ยังหลงเหลือคราบเครื่องสำอางอยู่ตามรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวบุก สิวผด
2. การไม่ล้างหน้าก่อนนอน และการไม่อาบน้ำก่อนนอน จะส่งผลให้เกิดสิวขึ้นที่ใบหน้าและหลัง
3. ควบคุมเรื่องอาหารการกิน อาหารต้องห้ามสำหรับคนที่เป็นสิว ได้แก่ อาหารรสจัด ของหวาน ของมัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาหารทะเล ซึ่งควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ อย่ารับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เพราะอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้น
4. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ การดื่มน้ำสะอาดในจำนวนที่เพียงพอต่อความร่างกายในแต่ละวัน จะเป็นการช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย และช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
5. ทำความสะอาดผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน อยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสกับใบหน้า และร่างกายของเราเป็นเวลานานมากที่สุดในแต่ละวัน



6. การเติมแป้งในระหว่างวัน โดยการใช้พัฟฟ์ที่สกปรก หรือไม่เคยทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้น
7. พยายามอย่ารบกวนผิวหน้า เช่น การบีบ กดสิว ขัดนวดใบหน้า เช็ดถูอย่างรุนแรง หรือบ่อยจนเกินไป เมื่อทำการล้างหน้าด้วยใช้ผ้าขนหนูซับใบหน้าเบาๆ ซึ่งจะอ่อนโยนกับผิวหน้ามากกว่า และการรักษาสิวโดยการขัดหน้านั้น มีข้อเสียคือจะทำให้หน้ามีความบางลงเรื่อยๆ เมื่อถูกแสงแดดจะเกิดอันตรายและยังเสี่ยงต่อการเกิดกระ หรือฝ้าได้ง่ายอีกด้วย


8. พักผ่อนให้เพียงพอ และควรนอนก่อน 5 ทุ่ม ยิ่งนอนดึกมากเท่าไหร่ สิวก็จะยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเท่านั้น
9. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว คนเราจะมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ถ้าหากคนที่มีผิวมันเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ใบหน้าก็จะยิ่งมีความมันที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้สิวมากขึ้นตามไปด้วย
10. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่อาจก่อให้เกิดสิว โดยเลือกใช้เครื่องสำอางแบบที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Noncomedogenic) หรือแบบที่ไม่มีไขมัน (Oil-Free) ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดสิวได้
11. อย่าใช้มือสกปรกไปจับหน้า และอย่าลืมล้างมือก่อนล้างหน้าทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเรากำลังนำน้ำล้างมือมาล้างหน้าเป็นการเพิ่มความสกปรกให้กับใบหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว
12. รักษาความสะอาดของร่างกาย ใบหน้า เส้นผม อย่าปล่อยให้ใบหน้าสกปรกจนมีไขมันอุดตันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ห้ามทำการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในทันที เพราะจะทำให้รูขุมขนปิดตัวลงโดยที่สิ่งสกปรกยังคงอุดตันอยู่ที่รูขุมขน ดังนั้นควรที่จะใช้ผ้าเช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าออกก่อน แล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด 
13. อย่าล้างหน้าบ่อยจนเกินไป การล้างหน้าจนแห้ง รูขุมขนจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวหนังมาก จนอาจทำให้ยิ่งเกิดการอุดตันของรู้ขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวมากยิ่งขึ้น
14. อย่าแต่งหน้าเกินวันละ 10 ชั่วโมง ต่อวัน เพราะยิ่งพอกเครื่องสำอางเอาไว้บนหน้านานเท่าไหร่ รูขุมขนก็จะถูกอุดตันมากเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องสิวตามมา
15. ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ควรระวังอย่าทานอาหารทะเลติดต่อกันทุกวัน เป็นที่ทราบกันดีว่าการทานอาหารทะเลจำนวนมากจะกระตุ้นให้เกิดสิว แต่ถ้าหากกินในปริมาณปกติเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็จะยังสามารถขับออกได้ทัน
16. พยายามขับถ่ายทุกวัน การปลดถ่ายหนักช่วยขับกากของเสียออกจากร่างกาย สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกทำให้ไม่ค่อยสามารถขับถ่ายได้นั้น ให้ลองเปลี่ยนมาทานอาหารประเภทผักและผลไม้ ที่มีใยอาหารมากๆ ซึ่งจะมีผลช่วยให้ร่างกายมีการขับถ่ายที่ดีขึ้น
17. กำจัดความเครียด ถ้าหากสิวขึ้น แนะนำว่าให้ยิ้มสู้ เพราะยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ สิวก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว 

แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นมาแล้วการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยรักษาสิวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผล นี้คืออีกหนึ่งวิธี
คลิกลิ้งค์ >>>




การบูชาบุพการีและขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรนั้นดีแท้

จากฐานะทางการเงินที่แย่มากๆ ก็ค่อยๆ ดีขึ้น เพราะได้รำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย กรรมที่ติดตัวมาเราไม่สามารถทำให้หายไปได้ แต่เราก็ยังขอให้มันทุเลาเบาบางลงได้บ้าง ด้วยอานิสงของการทำดี ปฏิบัติดี คิดดี และทุกๆ คืนที่สวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตา แต่นอกเหนือจากการสวดมนต์นั้น คือการสวดบูชาบุพการี ให้รำลึกว่าตัวเราได้ไปกราบเท้าท่าน ทำเช่นนี้ทุกคืน และสวดมนต์ขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวรทุกคืนเช่นกัน มันช่วยได้จริงๆ

 


เทคนิคการแต่งหน้าของสาว

คุณๆ ขา ทุกวันนี้เรา ยังคงแต่งหน้าด้วยวิธีเดิมๆ กันอยู่รึเปล่า ขนตาที่ดัดแล้วดัดอีก ดัดยังไงก็ไม่งอน คอนซีลเลอร์ใต้ตาที่ทายังไง ก็ยังเป็นหมีแพนด้าอยู่นั่น  คอนทัวร์หน้ากี่ครั้ง มันก็กลายเป็นฟุ้งไปทั่วหน้า ไม่สวยเหมือนอย่างที่คิด คุณเคยรู้ไหมว่า กระดาษรองนั่งชักโครก สามารถใช้แต่งสวยให้คุณได้!? วันนี้ เรามี 7 เทคนิค แต่งหน้า ยังไงให้พุ่ง มาให้คุณรู้ก่อนใคร อ่านตอนนี้ รู้ตอนนี้ สวยตอนนี้ ถ้าไม่อยากสวยช้ากว่าคนอื่น อ่านโลดดดดดดดด….!!!!

1. ดัดขนตายังไง ให้งอนเด้งง่ายๆใช้กฎเดียวกันกับ ที่ดัดขนตาด้วยความร้อนล่ะค่ะ ลองเป่าวอร์ม อัพด้วยไดร์เป่าผมให้ที่ดัดขนตาร้อนกำลังดี ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิลดลงนิดหน่อย แล้วจึงค่อยดัด เพื่อให้ชัวร์ว่าจะไม่ทำให้เวลาดัดแล้วเราสะดุ้งไปเพราความร้อนเสียก่อน
2. วิธีทำให้ขนตาดูหนา
หลังจากคุณปัดมาสคาร่าเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่มาสคาร่าจะแห้ง ให้ใช้แปรงแตะๆ แป้งฝุ่น Translucent แล้วแต้มลงบนระหว่างเปลือกตากับโคนแพขนตา วิธีนี้จะช่วยให้ขนตาดูหนาขึ้นได้
3. ติดกาวขนตาด้วยกิ๊บสะอาด
เคยไหม ติดกาวบนขนตาปลอมแต่ละที ลำบ๊าก…ลำบาก เราขอแนะนำลองใช้ปลายกิ๊บที่ 2 ขาไม่เท่ากัน ทากาวลงบนขนตาปลอม จะช่วยจัดระเบียบกาวให้สม่ำเสมอ ไม่เลอะ และติดได้ง่ายค่ะ ปล. ขอแนะนำให้ให้ใช้กิ๊บสะอาด ไม่เป็นสนิม เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของดวงตาคู่สวยนะคะ
4. ทำลิปกลอสเอง ง่ายๆ
ใช้ผงพิกเม้นท์ที่มี ผสมกับ ปิโตรเลี่ยม เจล เท่านี้เราก็จะได้ลิปกลอสราคาประหยัดไว้ใช้แล้วล่ะค่ะ
5. รู้ยัง คอนซีลเลอร์ใต้ตา ทายังไงให้ถูกวิธี
การทาคอนซีลเลอร์ใต้ตาเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ จะช่วยปิดรอยคล้ำ และถูงใต้ตาได้อย่างดี ช่วยให้หน้าดูกระชับขึ้น เพราะขับให้จุดที่สว่างที่สุดคือใต้ตา ทำให้หน้าดูพุ่งๆๆๆๆ สวยแบบหยุดไม่ได้
6. รู้ป่ะ ? คอนทัวร์หน้ายังไงให้ถูกโซน
เคยคอนทัวร์ หน้า แล้วมัน กลายเป็นกระจายฟุ้งไปทั่วใบหน้าไหมคะ นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ทิศทางว่าจะคอนทัวร์ไปโซนไหนของหน้าได้บ้าง ลองใช้ด้ามยาวๆ ของแปรงแต่งหน้า,ดินสอหรือปากกามาทาบกับแนวแก้มของคุณตามรูป นั่นล่ะค่ะ แนวสำหรับบรอนเซอร์ให้แก้มตอบ ส่วนกรอบหน้าคุณก็สามารถปัดให้ฟุ้งได้ ขอแค่อย่าเข้ามาใกล้แนวด้าม Cheekbone นั่นก็พอ
7. กระดาษรองนั่งชักโครกนี่ล่ะ กระดาษซับมันอย่างดี
มันอาจจะดูตลก แต่นี่คือเรื่องจริงค่ะ ใช้งานได้จริง ไม่มีสลิง ไม่ใช้สตั๊นท์ เพราะผลิตจากกระดาษเนื้อเยื่อเดียวกัน ลองใช้กระดาษรองนั่งชักโครกสะอาดๆ สักแผ่น แล้วคุณจะเข้าใจที่เราบอก

นอกจากเทคนิคการแต่งหน้าที่ดีแล้ว การเลือกผลิตภัณฑ์ก็สำคัญเช่นกัน
สนใจผลิตภัณฑ์ความงาม...ที่นี้มีให้ท่านเลือกสรรค์
คลิก...
http://yoursmilebeauty.lnwshop.com

จะดีแค่ไหนแค่ตอบคำถามก็ได้เงิน

Panel Station และ YourVoice กลับมาแล้วครับ รีบหน่อยครับ เดือนพฤษภาคมนี้รับเพียง 700 คน รายการของเดือน เมษายน ส่งเข้ามาแล้วนะครับ จะเข้าเป็นยอดที่รอยืนยัน แล้วไปยืนยันวันที่ 25 พฤษภาคมนะครับ รีบหน่อยครับ เดือนที่แล้วครบจำนวนไปตั้งแต่วันที่ 27

เกี่ยวกับ Your Voice


Your Voice เป็นชุมชนออนไลน์ที่ให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ และบริการ

เมื่อคุณเข้าร่วมเป็นสมาชิกในระบบนี้ จะมีอิทธิพลต่อรูปแบบที่ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกจะใช้ในการกำหนดคุณภาพ การนำเสนอ การคัดสรรและการกำหนดราคาของสินค้าและบริการของพวกเขา อีกทั้งคุณยังจะได้รับรางวัลตอบแทนสำหรับการสละเวลาอันมีค่าของคุณ

สนใจคลิกลิงค์
http://tappr1.com/verified.php?id=yourvoice&s1=luckymay&s2=459000

อัศจรรย์แห่งฟักข้าว


    5 ประโยชน์ฟักข้าวเด็ด ๆ ที่คุณไม่ควรพลาด พบกับความอัศจรรย์จากธรรมชาติที่หาได้จากพืชผักรูปร่างแปลกสีสดผ­­­ลนี้

              ฟักข้าว หนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพที่ยังคงได้รับความนิยม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งหลายคนที่ไม่เคยลิ้มลองพืชคงจะสงสัยใช่ไหมล­­­่ะว่า พืชผักรูปร่างแปลกสีสันสดใสนี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง และดีอย่างที่เคยได้ยินกันมาหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นวันนี้รีบมาส่อง 5 เหตุผลที่ว่าทำไมฟักข้าวถึงดีต่อสุขภาพ ขอบอกเลยว่าเหตุผลที่คัดมานี้เด็ด ๆ ทั้งนั้นเลย รับรองว่าอ่านจบแล้วจะรีบไปหาซื้อมาลองชิมกันแทบไม่ทันเลยล่ะ 

     1. ไลโคปีนสูงปรี๊ด !

              เห็นหน้าตาแปลก ๆ ก็อย่าเพิ่งประมาทนะว่าจะเป็นแค่เพียงพืชผักธร­­­รมดา เพราะมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า คุณค่าทางอาหารนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลยเชียวล่ะ โดยจากการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า ฟักข้าว มีสารไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า ! ซึ่งสารไลโคปีนนั้นทำหน้าที่ในการช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัย ช่วยการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ต้านความเสื่อมถอยของร่างกาย และบำรุงสุขภาพตาอีกด้วย

     2. คุณค่าทางอาหารเพียบ

              นอกจากปริมาณไลโคปีนที่สูงมากจนต้องทึ่งแล้ว เจ้าฟักข้าวยังมีเบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอท 20 เท่า มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 40 เท่า และมีซีแซนทีนสูงกว่าข้าวโพดเหลืองถึง 40 เท่า เห็นไหมว่าคุณค่าทางอาหารมีมากมายมหาศาลขนาดไหน ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้มีส่วนในการทำหน้าที่เป็นสารต้าน­­­อนุมูลอิสระป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งปอด รวมทั้งโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ แถมยังช่วยบำรุงสุขภาพตา และสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เริดไม่ใช่เล่น ๆ เลยเนอะ
         3. ไม่ว่าส่วนไหนของต้นก็มีประโยชน์ทั้งนั้น

                  ไม่เพียงแต่ผลของฟักข้าวเท่านั้นที่มีประโยชน์ แต่ส่วนอื่น ๆ ของต้นก็ยังสามารถนำไปใช้รักษาอาการต่าง ๆ ตามตำรับยาของชาวตะวันออกอีกด้วย อย่างเช่น ตำรับยาไทย มีการนำ ใบ ยอด เมล็ด และราก มาใช้ในการรักษาโรคดังนี้

                  http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ใบ นำมาปรุงเป็นยาเขียว ใช้ถอนพิษ ดับพิษทุกชนิด และนำมาตำพอกที่หลังเพื่อบรรเทาอาการปวดหลัง

                  http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ยอดของต้น มีเบต้าแคโรทีน สามารถนำมารับประทานได้ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ

                  http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif เมล็ด นำมาใช้บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และรักษาวัณโรค

                  http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ราก สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย เช่น ใช้ต้มดื่ม หรือตากแห้ง แล้วนำบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลมเล็ก ๆ รับประทาน ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ครั้งละ 3-5 เมล็ด จะช่วยขับเสมหะ ดับพิษไข้ แก้เข้าข้อ ปวดตามข้อ ถอนพิษไข้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปแช่น้ำ แล้วนำน้ำมาสระผม จะช่วยแก้ผมร่วง และกำจัดเหาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

                  ไม่เพียงเท่านั้น ในตำรับยาของของประเทศต่าง ๆ ส่วนต่าง ๆ ของต้นฟักข้าวมาใช้ในการรักษาโรคได้ เช่น ประเทศจีน นำเมล็ดมาบดผสมกับน้ำมันหรือน้ำผึ้งทาผิวรักษาอาการอักเสบ บวม หรือรักษาโรคกลาก เกลื้อนฟกช้ำ และบรรเทาอาการผื่นคันได้อีกด้วย

                  ส่วนในประเทศเวียดนามก็มีการนำน้ำมันเยื่อเมล็ดไปใช้ในการรักษา­­­มะเร็งตับ เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่นำสารสกัดของน้ำฟักข้าวไปใช้ยับยั­­­้งการเจริญเติบโตของมะเร็งตับเช่นกัน และในประเทศฟิลิปปินส์ก็นิยมนำรากไปบดเพื่อหมักผมให้ผมดกดำขึ้น­­­อีกด้วยค่ะ

         4. ยิ่งกินยิ่งดี ห่างไกลโรคมะเร็ง

                  ฟักข้าวถือเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรพลา­­­ด เพราะฟักข้าวนั้นยังสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆได้ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับ ซึ่งมีการศึกษาในประเทศจีนพบว่าโปรตีนจากเมล็ดของฟักข้าวมีความ­­­สามารถในการต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์ตับ ทำให้ความเสียหายจากการสารอนุมูลอิสระลดลง ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับก็ลดลงเช่นเดียวกัน

                  นอกจากนี้ก็ยังมีผลการวิจัยในประเทศเวียดนามพบอีกว่า น้ำมันจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวนั้นก็มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร­็งเช่นกัน

          5. ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี
                    คุณประโยชน์ของฟักข้าวที่น่าสนใจนั่นก็คือ ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่าโปรตีนจากฟักข้าวมีฤทธิ์ในก­­­ารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ HIV และสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ โดยผลการวิจัยนี้ก็ได้รับการจดสิทธิบัตรในประเทศไทยเรียบร้อยแล­­­้วด้วยค่ะ ถือเป็นคุณประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์สุด ๆ เลยล่ะ

                    เห็นคุณประโยชน์อันน่าทึ่งของฟักข้าวแล้วก็คงจะหายสงสัยกันแล้ว­­­ใช่ไหมล่ะคะว่าทำไมฟักข้าวถึงเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ ก็คุณประโยชน์เล่นเด็ดดวงขนาดนี้ ถ้าไม่ลองสักครั้งมาเสียดายทีหลังไม่รู้ด้วยนะ

ว่าด้วยประโยชน์ของกล้วย


กล้วยหอมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ไทยที่มีผลงานวิจัยแล้วว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่ต่อหน่วยเลยทีเดียวเนื่องจากว่า ในกล้วยหอมนั้นมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ซุคโคส ฟรักโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหาร ดังนั้นร่างกายเราจะได้รับพลังงานและสามารถนำไปใช้ได้ทันที ผลจากการวิจัย แค่กล้วยหอมเพียง 2 ลูก ก็สามารถให้พลังงานกับเราได้มากถึง 90 นาที               
นอกจากคุณประโยชน์ในแง่สารอาหารแล้ว กล้วยหอมยังมีสรรพคุณอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย  ดังนี้       1. ลดอาการซึมเศร้า  มีการศึกษาทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เมื่อให้รับประทานกล้วยหอมแล้ว ทำให้รู้สึกดีขึ้น ทั้งนี้ในกล้วยหอมมีสาร Tryptophan เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายสามารถแปลงเป็น Serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุข            
2. PMS. (Premenstrual syndrome)  เป็นอาการของคุณผู้หญิงในช่วงระหว่างก่อนมีหรือมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดแปรปรวนง่าย รวมไปถึงอาการปวดหัว ปวดท้องหากรับประทานกล้วยหอมก็จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหล่านี้ได้        
3. โรคโลหิตจาง  ในกล้วยหอมจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง ฮีโมโกลบิน ให้กับเม็ดเลือดแดง จะช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางได้        
4. ช่วยลดความดันโลหิต  กล้วยหอมมีสารอาหารทั้งวิตามินและเกลือแร่อยู่หลายชนิด เกลือแร่ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ โพแทสเซียม จากการวิจัยยืนยันแล้วว่าโพแทสเซียมในผลไม้ สามารถช่วยลดความดันโลหิตให้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้        
5. เพิ่มพลังสมอง  สารอาหารที่อยู่ในกล้วยหอมสามารถกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมองได้ จากการวิจัยเด็กนักเรียนในประเทศอังกฤษกลุ่มหนึ่งพบว่า การรับประทานกล้วยหอมเป็นอาหารเช้าก่อนเข้าห้องสอบ จะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ และทานอีกในช่วงกลางวัน จะทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัวได้        
6. ลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมอง  การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมจะช่วยลดภาวะจากการเป็นโรคหลอดเลือด สมองได้ ดังนั้นกล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ       
7. ลดการเกิดก้อนนิ่วในไต  บางครั้งแคลเซียมจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะเรามาก ทำให้ไตทำงานหนักจะอาจะเกิดเป็นก้อนนิ่วได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมอย่างกล้วยหอมจะช่วยให้ลดการเกิด นิ่วในไตได้        
8. ลดการเกิดแผลในกระเพาะและลำไส้  กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารอยู่มาก ใยอาหารเหล่านี้จะไปช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยอาหารได้ดีขึ้น รวมถึงยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหารให้ลดการระคายเคืองของกรดต่าง ๆ ไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องผูกอีกด้วย        
9. ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง  ในกล้วยหอมจะมีสารลดกรดธรรมชาติ การรับประทานกล้วยหอมจึงสามารถแก้อาการดังกล่าวได้        
10. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว  คนที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริวนั้นส่วนหนึ่งมาจากการขาดโพแทสเซียม หรือมีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ การทานกล้วยหอมเป็นประจำจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้        
11. ระบบประสาท  ในกล้วยหอมนอกจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียมแล้วยังมีวิตามินบีอยู่อีกมาก วิตามินบีจะช่วยเรื่องระบบประสาทในร่างกาย และการทำงานของสมองให้สมดุล 


ที่มา : www.thaifruit4you.com

เรื่องของกล้วยกับน้ำหนัก


กินกล้วยลดน้ำหนัก
วิธีการและทฤษฎีการลดน้ำหนักสายธรรมชาติมีมามายหลากหลายมาก โดยมีหลักการทั่วไปคือ การระมัดระวังเรื่องพลังงาน เลือกอาหารที่ทาน ควบคุมวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร ออกกำลังกาย และการปรับสมดุลของอาหารที่ทาน หนึ่งในทฤษฎีที่แปลกและเขย่าวงการลดน้ำหนักได้ทฤษฎีหนึ่งคือ การลดน้ำหนักด้วยการทานกล้วยหอม ซึ่งถือกำเนิดมาจาก 2 สามี ภรรยา ชาวญี่ปุ่น Sumiko และ Hamachi Watanabe โดยคุณ Sumiko เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเภสัชศาสตร์และเวชศาสตร์การป้องกัน และ คุณ Hamachi ผู้เป็นสามีที่มีความรู้ด้านการแพทย์แผนจีน และเป็นที่ปรึกษาให้กับสาถาบันการดูแลร่างกายในญี่ปุ่น โดยคุณ Sumiko ได้คิดค้นทฤษฎีการลดน้ำหนักด้วยกล้วยหอมนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับสามีที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผลจากสูตรนี้ทำให้สามารถ ลดน้ำหนักลงได้ถึง 16.6 กิโลกรัม เธอจึงแนะนำสูตรนี้ลงบน MIXI ชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คน หลังจากนั้น ก็มีการนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และมียอดขายถล่มทลายขายเกิน 1 ล้านเล่มในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการแปลในหลายภาษาอีกด้วย
ซึ่งก่อนที่จะเริ่ม หรือตัดสินใจจะลองปฏิบัติต้องขอบอกก่อนว่า ตามทฤษฎีนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ผลที่ออกมาก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าเมื่อทำแล้วจะเกิดผลดีหรือไม่ จึงควรใช้วิาจรณญาณในการตัดสินใจเลือก ดังเช่นทฤษฎีการลดน้ำหนักอื่นๆ จงอย่าลืมว่า หลักการการลดน้ำหนักต่างๆนั้นเหมือนการเลือกเสื้อผ้าควรเลือกให้เหมาะและเข้ากับการดำเนินชีวิตเราจะดีกว่า
หลักการคร่าวๆของทฤษฎีนี้คือ การกระตุ้นให้เรารับประทานผลไม้ ระมัดระวังระดับความหิว และความอิ่ม ทานอาหารมื้อสุดท้ายก่อนเวลา 2ทุ่ม และไม่เข้มงวดเรื่องปริมาณพลังงานในอาหารมากนัก โดยที่มื้อเที่ยงและมื้อเย็นเราสามารถทานอะไรก็ได้ตามที่เราทานเป็นปรกติ แต่จะต้องหยุดทานเมื่อรู้สึกว่าความอิ่มของเราอยู่ที่ 80% จาก 100% และงดของหวานและน้ำหวานทุกชนิดหลังมื้อเย็น นอกจากนี้ ยังแนะนำให้เข้านอนก่อนเวลาเที่ยงคืน ลดความเครียด และนอนให้เต็มอิ่ม ช่วงสำคัญของทฤษฎีนี้อยู่ที่มื้อเช้า โดยเริ่มมื้อเช้าด้วยกล้วยหอมพร้อมดื่มน้ำในอุณหภมิห้อง เมื่อทราบถึงหลักการคร่าวๆแล้วมีวิธีการปฏิบัติดังนี้

ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า

วิธีปฏิบัติ
  1. ตามทฤษฎีจะให้เริ่มมื้อเช้าด้วยกล้วยหอมและน้ำเปล่า สำหรับปริมาณ จะทานกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด หลังจากทานเสร็จให้ดื่มน้ำในอุณหภูมิห้องตาม โดยไม่จำกัดปริมาณ หากยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น หากวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ สามารถปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นแทนได้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
  2. มื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ ตามที่เราต้องการ อย่าให้มัน หวานและเค็มจัด แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป หยุดทานเมื่อรู้สึกว่าความอิ่มของเราอยู่ที่ 80% จาก 100%
  3. สำหรับมื้อของว่าง หากต้องการทานสามารถเลือกทานของว่างหวานๆ อย่างช็อกโกแลตได้ หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น ในปริมาณที่พอเหมาะ และถือว่าอนุโลมให้ทานของที่มีความหวานได้ในช่วงเวลานี้เท่านั้น
  4. สำหรับมื้อเย็นจะต้องเลื่อนเวลาขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย โดยไม่จำกัดปริมาณ และชนิดอาหาร แต่ควรควบคุมระดับความอิ่มอยู่ที่ 80% จาก 100% ซึ่งการกินข้าวเย็นเร็วขึ้น ถึงแม้จะกินเยอะซักหน่อยก็ไม่จะเป็นปัญหาแต่อย่างใดเนื่องจากมีช่วงเวลาในการย่อยก่อนเข้านอนนั่นเอง
  5. เข้านอนให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพยายามเข้านอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ และควรทำให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้า ช่วยควบคุมความหิว ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น
  6. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายระดับปานกลางไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ ตามทฤษฎีนี้คุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่ง โดยให้เลือกกิจกรรมที่โปรดปรานและสามารถทำได้ต่อเนื่อง เพื่อให้ร่างกายสดชื่น เนื่องจากการออกกำลังกายอย่างหักโหมจนรู้สึกทรมาน จะไม่เป็นผลดีกับทฤษฎีการลดน้ำหนักนี้
  7. จดบันทึกที่เกี่ยวกับแผนการการละน้ำหนัก หรือ ไดเอตไดอารี่ให้เป็นนิสัย เพื่อที่จะสามารถย้อนกลับมาตรวจเช็ความผิดพลาดได้ และยังเป็นกำลังใจให้เราทำได้อย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ของกล้วยหอม

กล้วยหอม ใครๆ ย่อมรู้จักกันดี และเมื่อพูดถึงผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ส่วนมากคงจะนึกถึงทุเรียนเป็นอันดับแรก รองลงมากก็คงจะเป็นมังคุด ละมุด ลำไย ขนุน มะม่วง องุ่น แต่รู้หรือไม่ว่ากล้วย ก็เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ให้พลังงานสูงไม่แพ้กันโดยเฉพาะกล้วยหอมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ไทยที่มีผลงานวิจัยแล้วว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ที่ร่างกายควรได้รับและ กล้วยหอม 100 กรัม ให้พลังงานประมาน 120 กิโลแคลอรี่ ต่อหน่วยเลยทีเดียว กล้วยหอมผลไม้ที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ลองแวะไปตลาดใกล้บ้านท่านก็จะพบเห็นกล้วยหอมวางขายอยู่มากมาย สำหรับราคากล้วยหอมถูกแพงก็แล้วแต่ฤดูกาล ถ้าเป็นช่วงไหว้ กล้วยหอมก็จะแพงหน่อย ถ้าเป็นช่วงอื่น ๆ กล้วยหอมก็จะไม่แพงจนเกินไป
คุณประโยชน์ ในกล้วยหอมนั้นมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ซุคโคส ฟรักโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหาร ดังนั้นร่างกายเราจะได้รับพลังงานและสามารถนำไปใช้ได้ทันที ผลจากการวิจัย แค่กล้วยหอมเพียง 2 ลูก ก็สามารถให้พลังงานกับเราได้มากถึง 90 นาที ด้วยเหตุนี้นักกีฬาโดยเฉพาะนักเทนนิส จึงนิยมนำไปรับประทานระหว่างการแข่งขัน เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีนั่นเอง นอกจากนี้กล้วยหอมยังช่วย รักษาโรคต่าง ๆ เช่น อาการซึมเศร้า, โลหิตจาง, ความดันโลหิตสูง, ท้องผูก , เเก้อาการเมาค้าง, ลดเครียด เเละอื่นอีกมามาย และเมื่อเปรียบเทียบแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ล 4 เท่า มีคาร์โบรไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอ และธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น มากกว่าอีก 2 เท่า และกล้วยยังอุดมด้วยโปรแตสเซียม กล้วยจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุด
เช็คคุณค่าทางอาหารเเละพลังงานในกล้วย อ่านต่อ
โดยส่วนตัวผึ้งไม่เคยลองทำนะคะ เพราะร่างกายไม่สามารถทานกล้วยขณะท้องว่างได้ จะเกิดอาการแก๊สในกระเพาะอย่างรุนแรง ดังนั้นอย่าลืมนะคะว่าทฤษฎีแต่อย่างมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และไม่ได้เหมาะกับทุกคน ควรศึกษาให้ดีและใช้อย่างพอเหมาะพอควรค่ะ
ที่มา: หนังสือ “Asa Banana Diet” โดย “ฮามาจิ” asabanana.net, zawadios.exteen.com, webmd.com

ประโยชน์ของแอปเปิ้ลกับการลดน้ำหนัก

รู้หรือไม่ว่า กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน
เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า “เพคติน” ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ
ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
คุณค่าทางอาหารของเเอ๊ปเปิ้ลเขียว 100 กรัม
พลังงาน52 kcal
น้ำ87 g
น้ำตาล8 g(1.6 tb.)
ใยอาหาร2.2 g
เบต้าเเคโรทีน31 mcg
วิตมินซี2 mg
โปเเตสเซี่ยม127 mg

คุณค่าทางอาหารของในเเอ๊ปเปิ้ลแดงวอชิงตัน 100 กรัม
พลังงาน60 kcal
น้ำ85 g
น้ำตาล11 g(2.2 tb.)
ใยอาหาร2.1 g
เบต้าเเคโรทีน36 mcg
วิตมินซี1 mg
โปเเตสเซี่ยม98 mg

คุณค่าทางอาหารของในเเอ๊ปเปิ้ลแดงฟูจิ 120 กรัม
พลังงาน60 kcal
น้ำ104 g
น้ำตาล11 g(2.2 tb.)
ใยอาหาร1.8 g
เบต้าเเคโรทีน40 mcg
วิตมินซี1 mg
โปเเตสเซี่ยม127 mg