สาวๆ รู้รึเปล่าค่ะว่า การที่เราหายใจเข้า และหายใจออกนั้น มีส่วนช่วยให้ผิวหนังของเราสวยและดูอ่อนวัยได้ค่ะ
เพราะว่าการที่หายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ร่างกายเราได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่นั้นจะช่วยให้ผิวหนังเราซ่อมแซมและทำการกำจัดแบคทีเรียที่เกาะอยู่ตามรูขุมขนบนผิวหนังของเราได้ด้วย เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ในร่างกายของเรานั้นเป็นสาเหตุทำให้เกิดกรด และเมื่อมีกรดมากๆ นั้นก็จะทำให้ผิวเกิดอาการอักเสบได้ แต่ก๊าซออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปนั้นช่วยลดกรดในร่างกายเราได้ค่ะ
เราจึงนำเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้ผิวสวย ดูอ่อนวัยมาฝากสาวๆ กัน ด้วยวิธีที่ทำได้ง่ายๆ แถมทำได้ทุกที่ด้วยนะคะ โดยเริ่มด้วยการหายใจออกพร้อมเป่าลมออกช้าๆ จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกเพื่อให้ปอดเราได้รับก๊าซออกซิเจนอย่างเต็มที่ แล้วกลั้นหายใจให้นานที่สุดและให้ก๊าซในออกซิเจนทำการแลกเปลี่ยนกันในปอดของเรามากที่สุด ให้ทำวิธีนี้ต่อเนื่องกัน 20 นาที วันละ 3 ครั้งค่ะ จะช่วยทำให้เราแก่ช้าลงเนื่องจากวิธีนี้จะทำให้ร่างกายรู้สึกสบายและหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา ซึ่งจะช่วยขจัดความเครียด ให้หมดไป จึงทำให้เราดูอ่อนวัยขึ้นค่ะ
ไม่อยากเลยใช่ไหมค่ะ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมนำวิธีนี้ไปปฏิบัตินะคะ จะได้มีผิวสวย แถมเทคนิคที่นำมาแนะนำนี้ยังเป็นการคลายความเครียดและความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่เรามีด้วยค่ะ
เคล็ดลับการมีผิวขาว ใส ไร้ริ้วรอย
คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างไหมว่าเหตุใดผู้หญิง บางคนจึงมีประกายความงามโดดเด่น สะดุดตาคุณเหลือเกิน
ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ
เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปที่ผู้หญิง ส่วนใหญ่ใช้จะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้วเนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บาน้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น
วิตามินเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)
2.สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด
•ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี
•ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือ วิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)
ผิวชั้นนอก (Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ
คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย คือ
1.มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2.สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3.หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4.ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5.ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว
6.ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง
--------------------------------------------------------------------------------
ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ
เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปที่ผู้หญิง ส่วนใหญ่ใช้จะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้วเนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บาน้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น
วิตามินเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)
2.สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด
•ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี
•ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือ วิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)
ผิวชั้นนอก (Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ
คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย คือ
1.มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2.สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3.หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4.ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5.ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว
6.ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง
--------------------------------------------------------------------------------
เหตุผลของวิธีลดความอ้วนที่ไม่ลงสักที
10 เหตุผลที่คุณเองอาจยังไม่รู้เพราะอะไรจึงทำให้คุณนั้นลดน้ำหนักไม่ได้เสียที วิธีลดความอ้วนของคุณผู้หญิงมีมากมายหลายวิธี ซึ่งคุณเองก็พยายามที่จะลดน้ำหนักให้เหมือนๆ กับคนอื่นเขา แต่ผลที่ได้กับตรงกันข้าม ซึ่งบางทีคุณอาจจะยังหาเหตุผลของวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ได้ผลไม่ได้ วันนี้เราเลยมีเหตุผลของวิธีลดความอ้วนที่ไม่ลงสักทีมาฝากคุณสาวๆ กันค่ะ ว่าข้อไหนบ้างที่ตรงกับคุณ
1. คุณกินชดเชยหลังออกกำลังกายใช่ไหม?
สาว ๆ หลายคนเคยชินกับการให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานสักชิ้น หรือน้ำหวานสักแก้วหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก (ก็เพิ่งเบิร์นไปตั้งหลายแคลอรี่นี่นา) แต่การกินแบบนี้จะทำให้ที่คุณออกกำลังมาน่ะ เหนื่อยเปล่า! แถมบางทีพลังงานที่คุณกินอาจจะมากกว่าที่เพิ่งใช้ไปด้วยซ้ำ
2. คุณอาจจะนอนไม่พอ
นอนดึก ๆ หรือนอนน้อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายมีเวลาเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่กลับทำให้ประโยชน์ที่ควรได้จากการออกกำลังกายลดลง และทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าคุณนอนไม่พอเมตาบอลิซึมจะทำงานช้าลงตรงข้ามกับความอยากอาหารที่เพิ่มขึ้น
3. คุณเครียดเกินไปไหม?
ยิ่งคุณเครียดมากเท่าไหร่ น้ำหนักคุณก็ยิ่งเพิ่มขึ้นง่ายเท่านั้น เวลาเครียด ๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาทำให้ความอยากอาหารและการกักเก็บพลังงานในรูปไขมันเพิ่มขึ้น (พุงจะยื่นเลยล่ะ)
4. คุณกินน้อยเกินไปล่ะมั้ง
กินน้อยได้พลังงานน้อยก็จริง แต่ถ้ากินน้อยเกินไปร่างกายจะปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณด้วยการลดอัตราเมตาบอลิซึมลง เพื่อกักเก็บพลังงานเอาไว้ (ป้องกันไม่ให้อดตาย!)
5. คุณลดไม่ต่อเนื่องหรือเปล่า?
การลดอาหารและออกกำลังไม่ต่อเนื่องนั้น แย่ยิ่งกว่าการกินมาก ๆ ออกกำลังกายน้อย ๆ เสียอีก เพราะจะทำให้ร่างกายของคุณปรับตัวไม่ทัน ดีไม่ดีตอนที่คุณกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ร่างกายอาจกำลังเร่งเก็บพลังงานไว้ใช้ตอนที่คุณลดน้ำหนักก็ได้
6. คุณไม่ได้อยากลดน้ำหนักจริง ๆ
ถามตัวเองให้แน่ ๆ ว่าคุณอยากจะลดน้ำหนักแบบจริงจังหรือเปล่า เพราะถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจริง ไม่นานคุณก็จะเบื่อและท้อ พอมีอะไรมายั่วหน่อยก็อยากกิน อาจจะเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกจนไขมันพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
7. คุณออกกำลังไม่หลากหลายล่ะสิ
ออกกำลังกายอยู่อย่างเดียวจนเป็นกิจวัตรประจำวันนอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ยังทำให้การเบิร์นไม่ได้ผลเท่าเดิมด้วยนะ เพราะคุณเคยชินกับมันจนเกินไปยังไงล่ะ ปรับเปลี่ยนซะบ้างนะ
8. น้ำหนักที่เห็นอาจไม่สัมพันธ์กับไขมันก็ได้
น้ำหนักที่คุณชั่งได้มีทั้งน้ำหนักของน้ำ มวลกล้ามเนื้อ แล้วก็ไขมัน การออกกำลังกายมาก ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาแทนที่ไขมันที่หายไป คุณถึงยังน้ำหนักเท่าเดิมยังไงล่ะ
9. คุณอาจใจร้อนเกินไป
ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนออกกำลังแป๊บเดียว น้ำหนักก็ลดลงไปเห็น ๆ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือน อย่าใจร้อน! ให้เวลากับตัวเองหน่อย ถ้าคุณพยายามเดี๋ยวก็เห็นผลเอง...ไม่ต้องรีบ
10. บางทีคุณอาจจะเป็นโรค (ที่ไม่เคยรู้)
โรคบางโรค เช่น ภาวะมีถุงน้ำที่รังไข่ (PCOS) ต่อมธัยรอยด์ผิดปกติ หรือฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อาจจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และลดลงได้ยาก หากรู้สึกผิดปกติมาก ๆ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหารมาเป็นเดือน ๆ น้ำหนักก็ไม่หายไปเลย ลองปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายดูนะคะ
1. คุณกินชดเชยหลังออกกำลังกายใช่ไหม?
สาว ๆ หลายคนเคยชินกับการให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานสักชิ้น หรือน้ำหวานสักแก้วหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก (ก็เพิ่งเบิร์นไปตั้งหลายแคลอรี่นี่นา) แต่การกินแบบนี้จะทำให้ที่คุณออกกำลังมาน่ะ เหนื่อยเปล่า! แถมบางทีพลังงานที่คุณกินอาจจะมากกว่าที่เพิ่งใช้ไปด้วยซ้ำ
2. คุณอาจจะนอนไม่พอ
นอนดึก ๆ หรือนอนน้อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายมีเวลาเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่กลับทำให้ประโยชน์ที่ควรได้จากการออกกำลังกายลดลง และทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าคุณนอนไม่พอเมตาบอลิซึมจะทำงานช้าลงตรงข้ามกับความอยากอาหารที่เพิ่มขึ้น
3. คุณเครียดเกินไปไหม?
ยิ่งคุณเครียดมากเท่าไหร่ น้ำหนักคุณก็ยิ่งเพิ่มขึ้นง่ายเท่านั้น เวลาเครียด ๆ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาทำให้ความอยากอาหารและการกักเก็บพลังงานในรูปไขมันเพิ่มขึ้น (พุงจะยื่นเลยล่ะ)
4. คุณกินน้อยเกินไปล่ะมั้ง
กินน้อยได้พลังงานน้อยก็จริง แต่ถ้ากินน้อยเกินไปร่างกายจะปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณด้วยการลดอัตราเมตาบอลิซึมลง เพื่อกักเก็บพลังงานเอาไว้ (ป้องกันไม่ให้อดตาย!)
5. คุณลดไม่ต่อเนื่องหรือเปล่า?
การลดอาหารและออกกำลังไม่ต่อเนื่องนั้น แย่ยิ่งกว่าการกินมาก ๆ ออกกำลังกายน้อย ๆ เสียอีก เพราะจะทำให้ร่างกายของคุณปรับตัวไม่ทัน ดีไม่ดีตอนที่คุณกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ร่างกายอาจกำลังเร่งเก็บพลังงานไว้ใช้ตอนที่คุณลดน้ำหนักก็ได้
6. คุณไม่ได้อยากลดน้ำหนักจริง ๆ
ถามตัวเองให้แน่ ๆ ว่าคุณอยากจะลดน้ำหนักแบบจริงจังหรือเปล่า เพราะถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจริง ไม่นานคุณก็จะเบื่อและท้อ พอมีอะไรมายั่วหน่อยก็อยากกิน อาจจะเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกจนไขมันพุ่งขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
7. คุณออกกำลังไม่หลากหลายล่ะสิ
ออกกำลังกายอยู่อย่างเดียวจนเป็นกิจวัตรประจำวันนอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ยังทำให้การเบิร์นไม่ได้ผลเท่าเดิมด้วยนะ เพราะคุณเคยชินกับมันจนเกินไปยังไงล่ะ ปรับเปลี่ยนซะบ้างนะ
8. น้ำหนักที่เห็นอาจไม่สัมพันธ์กับไขมันก็ได้
น้ำหนักที่คุณชั่งได้มีทั้งน้ำหนักของน้ำ มวลกล้ามเนื้อ แล้วก็ไขมัน การออกกำลังกายมาก ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาแทนที่ไขมันที่หายไป คุณถึงยังน้ำหนักเท่าเดิมยังไงล่ะ
9. คุณอาจใจร้อนเกินไป
ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนออกกำลังแป๊บเดียว น้ำหนักก็ลดลงไปเห็น ๆ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือน อย่าใจร้อน! ให้เวลากับตัวเองหน่อย ถ้าคุณพยายามเดี๋ยวก็เห็นผลเอง...ไม่ต้องรีบ
10. บางทีคุณอาจจะเป็นโรค (ที่ไม่เคยรู้)
โรคบางโรค เช่น ภาวะมีถุงน้ำที่รังไข่ (PCOS) ต่อมธัยรอยด์ผิดปกติ หรือฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อาจจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และลดลงได้ยาก หากรู้สึกผิดปกติมาก ๆ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหารมาเป็นเดือน ๆ น้ำหนักก็ไม่หายไปเลย ลองปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายดูนะคะ
ผัก ผลไม้ 10 ชนิดที่ให้วิตามิน C มากกว่าส้ม และหากินได้ง่ายในเมืองไทย
กินส้มเยอะๆสิ จะได้วิตามินซีเยอะๆ เป็นคำพูดที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะเพราะรสชาติที่อร่อย หาทานง่าย ราคาถูกและสีสันสวยงาม เลยน่าจะทำให้เด็กๆทานได้ง่ายและในปริมาณมากกว่าผลไม้อื่นๆ
ซึ่งจริงๆแล้ว เพราะเคยได้ยินมาบ่อยๆๆๆ ว่า "ส้มจริงๆให้วิตามินซีน้อยกว่าฝรั่งอีก" แล้วด้วยอยากกินอะไรน้อยๆแต่ได้ปริมาณมากๆ (อนึ่ง คือ ขี้เกียจ) เลยลองหาข้อมูลดูครับ
จึงได้พบว่า...มีผลไม้ที่มีขายในเมืองไทยหลายชนิด ที่มีวิตามินซีมากกว่าส้มเสียอีก บางอย่างแทบจะนึกไม่ถึง เช่น พุทรา (Jujube) กลับเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้มถึง 10 เท่า!!!*
มาดูกันเลยว่า มีผัก/ผลไม้อะไรบ้างที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้มครับ
*ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Vitamin_c
Chart แสดงปริมาณวิตามินซี (mg) ในผัก/ผลไม้ปริมาณ 100 g
(จริงๆมีผลไม้อีกหลายชนิดที่ให้วิตามินซีในปริมาณสูงมากกว่านี้ แต่มักหาไม่ได้ในเมืองไทย เลยคัดมาแต่เฉพาะหาซื้อได้ในซูเปอร์ครับ)
ประโยชน์ของวิตามินซีกับการต้านแก่
ช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็น และคอลลาเจนก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกายเช่นกัน
วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดั้งนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินซีกับการต้านแก่
ช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็น และคอลลาเจนก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกายเช่นกัน
วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดั้งนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
สุขภาพดี สวย หล่อได้ กับ 10 ยอดอาหารสุขภาพ
การกินอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบ่งบอกได้ถึงสุขภาพ ร่างกาย หากคุณต้องการมีสุขภาพที่ดี ผิวพรรณสดใส ดูดีอยู่ตลอเวลา ลองมา กิน 10 ยอดอาหารสุขภาพกันดีไหมค่ะ
การกินอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบ่งบอกได้ถึงสุขภาพ ร่างกาย หากคุณต้องการมีสุขภาพที่ดี ผิวพรรณสดใส ดูดีอยู่ตลอเวลา ลองมา กิน 10 ยอดอาหารสุขภาพกันดีไหมค่ะ อาจารย์มาร์ค เกล็น นักโภชนาการแห่งมาโยคลินิกแนะนำ 10 ยอดอาหารสุขภาพ ดังต่อไปนี้ค่ะ
•แอปเปิ้ล:
แอปเปิ้ลมีเพคทิน (pectin) ซึ่งเป็นเส้นใยชนิดละลายน้ำ (soluble fiber) ที่มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด แอปเปิ้ลสดมีวิตะมินซี วิตะมินซี ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กและโฟเลต ร่างกายเราใช้ธาตุเหล็กในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคเลือดจาง กรดโฟเลต ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนั้นกรดโฟเลตยังทำงานร่วมกับวิตะมินบี 6,12 ในการลดสารโฮโมซิสเทอีน ซึ่งมีพิษต่อผนังเส้นเลือด
•อัลมอนด์:
อัลมอนด์มีเส้นใย วิตะมินบี 2 วิตะมินอี ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง ธาตุแมกนีเซียมจะทำงานร่วมกับแคลเซียมในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนั้นยังมีน้ำมันชนิดดีมาก ซึ่งเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง (monounsaturated fatty acid / MUFA)
•บลูเบอรี่:
บลูเบอรี่มีสารคุณค่าพืชผัก (phytonutrients) เส้นใย(ไฟเบอร์) และวิตะมินซีสูง นอกจากนั้นยัง มีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้นได้ จึงดีกับคนสูงอายุ และนิสิตนักศึกษาที่เตรียมสอบมากเป็นพิเศษ
•บร็อคโคลี:
บร็อคโคลีมีแคลเซียม วิตะมินเอ วิตะมินซี วิตะมินเค โฟเลต เส้นใย(ไฟเบอร์) และสารคุณค่าพืชผัก (phytonutrients) มาก สารคุณค่าพืชผักในบร็อคโคลีมีส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เบาหวาน ฯลฯ ได้ในระดับหนึ่ง
•ถั่วแดง:
ถั่วที่มีสีแดง โดยเฉพาะถั่วแดงหลวงมีวิตะมินบี 1 โปรตีน เส้นใย(ไฟเบอร์) ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ทองแดง และสารคุณค่าพืชผัก (phytonutrients) สูง
•แซลมอน:
ปลาแซลมอนมีโปรตีนคุณภาพสูง โคเลสเตอรอลต่ำ ไขมันอิ่มตัวต่ำ และมีไขมันชนิดดีพิเศษ(โอเมก้า-3 สูง) ไขมันโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยลดโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือด ลดโอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ชะลอการเติบโตของคราบไขมันในเส้นเลือด (plaque) มีส่วนช่วยลดความดัน และลดความเสี่ยงโรคเส้นเลือดสมองแตก-ตีบตัน (อัมพฤกษ์-อัมพาต)
•ผักโขม:
ผักโขมหรือปวยเล้ง (spinach) มีวิตะมินเอ วิตะมินบี-2,6 วิตะมินซี โฟเลต แคลเซียม แมกนีเซียม และเหล็กสูง
•น้ำผัก:
น้ำผักมีวิตะมิน เกลือแร่ และสารคุณค่าพืชผักรวมกันเกือบครบทุกชนิด การดื่มน้ำผักเป็นประจำคล้ายกับการซื้อประกันชีวิตอย่างดี เพราะน้ำผักช่วยรับรองว่า วันนี้หรือวันไหนเราจะไม่ขาดผักเลย
•มะเขือเทศ:
มะเขือเทศมีสารไลโคพีน (lycopene) สารไลโคพีนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งอื่นอีกหลายชนิด ถ้ากินน้ำมะเขือเทศควรเลือกชนิดมีเกลือโซเดียมต่ำ หรือชนิดไม่เติมเกลือ เนื่องจากการกินเกลือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันเลือดสูง
•จมูกข้าว:
จมูกข้าวเป็นสุดยอดคุณค่าธัญพืช เนื่องจากเป็นส่วนที่ข้าวได้รวบรวมสารอาหารไว้ช่วยในการงอก ถ้าเปรียบเป็นไข่ จมูกข้าวจะคล้ายไข่แดง ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าสูงสุด ต่างกันตรงที่จมูกข้าวไม่มีโคเลสเตอรอล และมีโปรตีน วิตะมินบี-1,2 วิตะมินอี โฟเลต แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี (zinc) ขนาดสูง นอกจากนั้นยังมีเส้นใย(ไฟเบอร์) และไขมันชนิดดี(น้ำมันรำข้าว)เล็กน้อย
การกินอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบ่งบอกได้ถึงสุขภาพ ร่างกาย หากคุณต้องการมีสุขภาพที่ดี ผิวพรรณสดใส ดูดีอยู่ตลอเวลา ลองมา กิน 10 ยอดอาหารสุขภาพกันดีไหมค่ะ อาจารย์มาร์ค เกล็น นักโภชนาการแห่งมาโยคลินิกแนะนำ 10 ยอดอาหารสุขภาพ ดังต่อไปนี้ค่ะ
•แอปเปิ้ล:
แอปเปิ้ลมีเพคทิน (pectin) ซึ่งเป็นเส้นใยชนิดละลายน้ำ (soluble fiber) ที่มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด แอปเปิ้ลสดมีวิตะมินซี วิตะมินซี ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กและโฟเลต ร่างกายเราใช้ธาตุเหล็กในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคเลือดจาง กรดโฟเลต ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนั้นกรดโฟเลตยังทำงานร่วมกับวิตะมินบี 6,12 ในการลดสารโฮโมซิสเทอีน ซึ่งมีพิษต่อผนังเส้นเลือด
•อัลมอนด์:
อัลมอนด์มีเส้นใย วิตะมินบี 2 วิตะมินอี ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง ธาตุแมกนีเซียมจะทำงานร่วมกับแคลเซียมในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนั้นยังมีน้ำมันชนิดดีมาก ซึ่งเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง (monounsaturated fatty acid / MUFA)
•บลูเบอรี่:
บลูเบอรี่มีสารคุณค่าพืชผัก (phytonutrients) เส้นใย(ไฟเบอร์) และวิตะมินซีสูง นอกจากนั้นยัง มีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้นได้ จึงดีกับคนสูงอายุ และนิสิตนักศึกษาที่เตรียมสอบมากเป็นพิเศษ
•บร็อคโคลี:
บร็อคโคลีมีแคลเซียม วิตะมินเอ วิตะมินซี วิตะมินเค โฟเลต เส้นใย(ไฟเบอร์) และสารคุณค่าพืชผัก (phytonutrients) มาก สารคุณค่าพืชผักในบร็อคโคลีมีส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เบาหวาน ฯลฯ ได้ในระดับหนึ่ง
•ถั่วแดง:
ถั่วที่มีสีแดง โดยเฉพาะถั่วแดงหลวงมีวิตะมินบี 1 โปรตีน เส้นใย(ไฟเบอร์) ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ทองแดง และสารคุณค่าพืชผัก (phytonutrients) สูง
•แซลมอน:
ปลาแซลมอนมีโปรตีนคุณภาพสูง โคเลสเตอรอลต่ำ ไขมันอิ่มตัวต่ำ และมีไขมันชนิดดีพิเศษ(โอเมก้า-3 สูง) ไขมันโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยลดโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือด ลดโอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ชะลอการเติบโตของคราบไขมันในเส้นเลือด (plaque) มีส่วนช่วยลดความดัน และลดความเสี่ยงโรคเส้นเลือดสมองแตก-ตีบตัน (อัมพฤกษ์-อัมพาต)
•ผักโขม:
ผักโขมหรือปวยเล้ง (spinach) มีวิตะมินเอ วิตะมินบี-2,6 วิตะมินซี โฟเลต แคลเซียม แมกนีเซียม และเหล็กสูง
•น้ำผัก:
น้ำผักมีวิตะมิน เกลือแร่ และสารคุณค่าพืชผักรวมกันเกือบครบทุกชนิด การดื่มน้ำผักเป็นประจำคล้ายกับการซื้อประกันชีวิตอย่างดี เพราะน้ำผักช่วยรับรองว่า วันนี้หรือวันไหนเราจะไม่ขาดผักเลย
•มะเขือเทศ:
มะเขือเทศมีสารไลโคพีน (lycopene) สารไลโคพีนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งอื่นอีกหลายชนิด ถ้ากินน้ำมะเขือเทศควรเลือกชนิดมีเกลือโซเดียมต่ำ หรือชนิดไม่เติมเกลือ เนื่องจากการกินเกลือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันเลือดสูง
•จมูกข้าว:
จมูกข้าวเป็นสุดยอดคุณค่าธัญพืช เนื่องจากเป็นส่วนที่ข้าวได้รวบรวมสารอาหารไว้ช่วยในการงอก ถ้าเปรียบเป็นไข่ จมูกข้าวจะคล้ายไข่แดง ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าสูงสุด ต่างกันตรงที่จมูกข้าวไม่มีโคเลสเตอรอล และมีโปรตีน วิตะมินบี-1,2 วิตะมินอี โฟเลต แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี (zinc) ขนาดสูง นอกจากนั้นยังมีเส้นใย(ไฟเบอร์) และไขมันชนิดดี(น้ำมันรำข้าว)เล็กน้อย
5 วิธีทำให้ผิวขาว เพื่อบอกลาผิวหมองคล้ำ
วิธีทำให้ผิวขาวของคุณผู้หญิงนั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดหรอกค่ะ ยิ่งถ้าคุณผู้หญิงนำเคล็กลับดีๆ ที่เราจะนำมาบอกกันวันนี้ ไปทำแล้วล่ะก็จะช่วยให้คุณมีผิวที่ขาวขึ้นได้ค่ะ งั้นเราดูวิธีทำให้ผิวขาวอย่างธรรมชาติกันเลยดีกว่าค่ะ
1. วิตามินซี : วิตามินซีจะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ และลดการทำงานของเอมไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิวจึงช่วยลดจุดด่างดำและปรับสีผิวที่หมองคล้ำลงจากแสงแดดให้ขาวขึ้นได้ ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ วิตามินซีส่วนใหญ่จะมีมากในผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว ฯลฯ หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพออาจซื้อวิตามินซี ชนิดเม็ดที่ขายในร้านขายยาทั่วไปมาทานเพิ่มก็ได้
2. น้ำนม : น้ำนมจะอุดมไปด้วยสารอาหารแร่ธาตุที่ดีต่อผิวและมีฤทธิ์กัดกร่อนเซลล์ผิวที่ตายแล้วของเราให้หลุดออกไป วิธีใช้ นำน้ำนมทาบนผิวกายโดยตรง รอสักพักให้เริ่มแห้งแล้วขัดด้วยใยบวบ สำหรับใบหน้าให้นำน้ำนมมาพอกบนผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น โดยน้ำนมนั้นจะเหมาะสมกับผิวกายมากกว่าผิวหน้า
3. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาวและครีมกันแดด : สาวๆ ควรใช้ครีมบำรุงผิวที่มีไวท์เทนนิ่งทาหลังอาบน้ำเสร็จเป็นประจำ และเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่องควรทาซ้ำก่อนนอน และจำเอา ไว้ให้ขึ้นใจว่า่ก่อนออกจากห้องต้องทาครีมกันแดดก่อน 20 นาที ทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
4. การขัดผิว : เป็นการขัดเพื่อให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดออกไป และเป็นการเผยผิวที่สดใสยิ่งกว่า การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำ ครีม หินขัด หรือ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ หรืออาจจะใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปก็ได้ สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ให้ทำอย่างนิ่มนวล และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็พอ
5. การทานอาหารและออกกำลังกาย : ควรทานผักและผลไม้ทุกมื้อ เพราะผักและผลไม้ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับ เมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตา ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วยค่ะ วิธีทำให้ผิวขาวเหล่านี้จะช่วยให้คุณผู้หญิง ดูแลตัวเอง และดูแลผิวมากยิ่งขึ้นค่ะ งั้นไปลองวิธีทำให้ผิวขาวกันเลยดีกว่าค่ะ
5 สิ่งที่ผิวต้องการอย่าได้ขาด
ผู้หญิงเรานั้นการดูแลเรื่องผิวพรรณเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากผลิตภัณฑ์ที่คุณดูแลกันแล้ว
สิ่งเหล่านี้คือเรื่องของผิวที่คุณเองจะขาดไม่ได้ 5 สิ่งที่ผิวต้องการอย่างได้ขาดมีอะไรกันบ้างเราไปดูกันเลยค่ะ
1.สารต่อต้านอนุมูลอิสระ : ที่มีอยู่ในวิตาวินเอ ซี และอี ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่งออกมาจากข้างใน วิตามินพวกนี้มีอยู่มากในผักและผลไม้
2.การนวด : การนวดจะช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนในผิวซึ่งคุณสามารถทำได้ในขณะทาครีม โดยใช้นิ้วมือถูเบาๆ เป็นแนววงกลมวันละแค่หนึ่งนาทีก็เพียงพอแล้ว
3.ความชุ่มชื้น : ซึ่งหาได้จากครีม น้ำมัน หรือโลชั่น โดยจะช่วยเติมความชุ่มชื้นหลังล้างหน้า และปกป้องผิวจากปัจจัยต่างๆ ด้วย
4.น้ำ : ถึงแม้การดื่มน้ำจะไม่ได้ช่วยให้ผิวอิ่มเอิบขึ้นมาโดยตรงแต่ถ้าคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวันก็จะส่งผลให้ผิวดูหม่นหมองได้
5.ครีมกันแดด : คุณจำเป็นต้องปกป้องผิวเป็นประจำทุกวันโดยทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 เป็นอย่างน้อยในบริเวณที่ไม่มีอะไรปกปิด ไม่ว่าวันนั้นฝนจะตกหรือแดดจะออกหรือไม่
วิธีการนวดหน้าสไตล์เกาหลี
ผู้หญิงส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการปกป้องจากแสงแดด เพื่อป้องกันความร่วงโรยและความหมองคล้ำ
แต่ลืมให้ความสำคัญกับปัจจัยที่แท้จริงที่ส่งผลให้ผิวแลดูร่วงโรย นั่นคืออุณหภูมิความร้อนที่มาจากทั้งภายในผิวเองและอุณหภูมิความร้อนจากสภาพอากาศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่นับวันยิ่งต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด
โซลวาซู (Sulwhasoo) แบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี นำศาสตร์แห่งการปรนนิบัติผิวดั้งเดิม มาเป็นแรงบันดาลใจในการค้นคว้าและวิจัยยาวนานกว่า 10 ปี ผู้หญิงเกาหลีมีวิธีปรนนิบัติผิวพรรณเพื่อคลายอุณหภูมิความร้อนบนใบหน้า เหมาะสำหรับผู้หญิงเอเชียโดยเฉพาะ เพื่อผิวสวยสมบูรณ์แบบ เริ่มจากการบำรุงผิวตามปกติ แล้วเพิ่มขั้นตอนการปรนนิบัติด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถปลอบประโลมผิวให้ชุ่มชื้น และให้สัมผัสที่เย็นสบายแก่ผิว ตามด้วยขั้นตอนการกดจุดที่ถูกออกแบบรังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษ ดังนี้
1.กดจุดเบาๆ ช่วงระหว่างหางคิ้วและหางตา จะช่วยบรรเทาความร้อนและอาการแดง
2.กดจุดช่วงร่องจมูก ช่วยปรับผิวกระจ่างใสและบรรเทาความร้อนในผิว สำหรับผิวบอบบาง
เพื่อปกป้องผิวจากอุณหภูมิความร้อนควรใช้ครีมกันแดดที่มีเอสพีเอฟ 30 พีเอ++ ขึ้นไป ที่จะช่วยฟื้นฟูบำรุงและปกป้องผิวจากแสงแดด ใช้มาสก์หน้าเพื่อช่วยปรนนิบัติและบำรุงผิว หลังจากวันที่ออกแดด หรือเผชิญกับมลภาวะความร้อนระหว่างวัน โดยแนะนำให้ใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการพักผ่อนยามค่ำคืน เพื่อช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิผิวแม้ขณะหลับ
วิธีแต่งหน้าให้เหมาะกับสีผิว ของสาวแต่ละคน
วิธีแต่งหน้าให้เหมาะกับสีผิว ของสาวแต่ละคน
วิธีแต่งหน้าสำหรับสาวสีผิวต่างๆ อาจจะฟังดูเป็นเรื่องยากของใครหลายๆ คน เพราะบางคนอาจจะต้องเสีย
เสียทองเป็นจำนวนมากเพื่อนำเงินในกระเป๋าไปซื้อเครื่องสำอางแพงมาแต่งหน้า แต่แต่งอย่างไรก็ไม่เข้ากับใบหน้าเราเสียที วันนี้เราเคล็ดลับดีที่ช่วยให้คุณมีวิธีแต่งหน้าให้เหมาะกับสีผิวของคุณมาฝากกันค่ะ
•สาวผิวคล้ำ เหมาะอย่างยิ่งกับการ แต่งหน้า ในโทนสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลอมส้ม และสีนู้ด และ อย่าลืมลองมองหาลิปสติกสีไวน์ ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับริมฝีปากของสาวผิวคล้ำค่ะ
•สาวผิวเหลืองและสีน้ำผึ้ง สีที่เหมาะกับสาวผิวนี้ที่สุดก็ คือ สีส้มอมน้ำตาล สีทอง และสีนู้ด นอกจาก สีดังกล่าวแล้ว คุณยังสามารถเลือกทาลิปสติกสีชมพูอ่อนๆ ได้อีกด้วย
•สาวผิวขาว ช่างโชคดีที่คุณคือเจ้าของสีผิวที่เหมาะกับการแต่งหน้าในทุกโทนสี แต่ สำหรับสีที่เหมาะที่สุดกับลุคในวันสบายๆ ก็คือ สีชมพู ที่ช่างเข้ากันได้ดีกับผิวสีอ่อนของคุณ
--------------------------------------------------------------------------------
วิธีแต่งหน้าจากหน้ากลมๆ ให้เป็นหน้าเรียวเล็ก
วิธีแต่งหน้าจากหน้ากลมๆ ให้เป็นหน้าเรียวเล็ก
ผู้หญิงที่มีรูปหน้ากลมมักมีปัญหาเวลาแต่งหน้าเสียจริงๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับในแต่งหน้าของคุณผู้หญิงที่ช่วยให้คุณมีใบหน้าที่เล็กเรียวมากยิ่งขึ้นมาฝากกันค่ะ
วิธีแรก นั้นต้องอาศัยเทคนิคในการแต่งหน้านิดหน่อย จับเอาทั้งบรอนเซอร์ และบลัชออนโทนสีชมพูสวยๆ โดยปัดบลัชออนสีชมพูอมเบจซึ่ง มีสีอ่อนกว่าบรอนเซอร์ลงบนบริเวณโหนกแก้มด้านบน จากนั้นดูดแก้มเข้าไปจนเกิดรอยบุ๋ม แล้วปัดบรอนเซอร์ที่มีสีเข้มกว่าลงไป อย่าลืมเกลี่ยทั้งบรอนเซอร์ และบลัชออนให้ดูกลมกลืนกันด้วยนะคะ อย่าให้เห็นเป็นขอบเป็นแนวชัดเจน
วิธีที่สองคือ การใช้ทรงผมเข้าช่วย ลองตัดทรงผมหน้าม้าให้ยาวระดับคิ้ว หรือซอยไล่ระดับประมาณใบหู ใช้ลูกเล่นหรือเพิ่มรายละเอียดบริเวณครึ่งบนของศีรษะ แทนที่จะมีความยาวในระดับเดียวกันหมด จะช่วยทำให้ใบหน้าของสาวๆ ดูแคบลงได้ค่ะ
สองวิธีที่เราบอกนี้จะช่วยให้คุณมีใบหน้าที่เล็กเรียวมากยิ่งขึ้น ยังไงซะก็ลองนำเทคนิคไปใช่กันดูบ้างน่ะคะ
ลดริ้วรอยที่คุณคาดไม่ถึง
มารู้วิธีลดริ้วรอย ที่คุณคาดไม่ถึงกัน
“ริ้วรอย” คำที่คุณผู้หญิงไม่ค่อยชอบนัก ยิ่งถ้าคุณมีริ้วรอยมากจนเกินอายุจริงด้วยแล้ว อาจสร้างปัญหาให้กับ
คุณตามมา ต่อให้คุณใช้ครีมบำรุงราคาแพง แต่ใช้แล้วริ้วรอยก็ไม่หายไปเสียที แบบนี้คุณผู้หญิงยิ่งต้องเครียดมากขึ้นแน่นอน ริ้วรอยเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ระวังกับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจกับใบหน้า หรือไม่สังเกตุริ้วรอยเล็กๆ ที่กำลังมาปัญหาก็ตามมาแน่นอน งั้นเราลองไปเรียนรู้วิธีการดูแล และป้องกันริ้วรอย กับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณสาวๆ กันค่ะ
การนอนหงาย
สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกันแนะนำว่า การนอนในท่าใดท่าหนึ่งเพียงท่าเดียวทุกๆ คืนจะทำให้หน้ายับ ก่อนจะกลายเป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัดบนผิวหน้า และไม่เลือนหายไปแม้ว่าคุณจะลุกขึ้นมาแล้วก็ตาม โดยการนอน
ตะแคงข้างจะเพิ่มริ้วรอยที่แก้มและคาง ขณะที่การนอนคว่ำจะทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผาก ฉะนั้นเพื่อลดการก่อตัวของริ้วรอยแนะนำให้สาวๆ เปลี่ยนมานอนหงายแทน แม้ว่าอาจจะไม่ชินในช่วงแรก และเผลอพลิก
ไปนอนในท่าที่เคยชินตอนหลับไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่านอนตะแคง หรือนอนคว่ำอย่างเดียวโดยไม่เปลี่ยนท่าเลยตลอดคืนน่ะค่ะ
รับประทานปลาให้มากขึ้น
อันนี้ฝรั่งเขาแนะนำให้รับประทานปลาแซลมอน ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่ดีต่อผิว เพราะว่ามีส่วนประกอบของกรดไขมันจำเป็นที่ชื่อว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งทำให้ผิวหนัง
ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เด้งดึ๋ง และดูอ่อนเยาว์ รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยด้วย แต่สำหรับคนไทยอาจจะหันมารับประทานปลาสวาย ปลาไทยๆ ราคาไม่แพง แต่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่แพ้ปลาชนิดไหนในโลก
แทนก็ได้ ไม่ต้องรับประทานปลาแซลมอนให้เปลืองสตางค์
เลิกหยีตา แล้วหาแว่นมาใส่ด่วน
สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกันแนะนำว่า การขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำๆ อย่างเช่นการหยีตา จะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าต้องทำงานหนักเกินไป และทำให้เกิดร่องลึกที่ชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งร่องลึกเหล่านี้จะพัฒนาไปเป็นริ้วรอยอย่างถาวร ฉะนั้นทำตาโตๆ กันเข้าไว้ โดยการใส่แว่นสำหรับอ่านหนังสือ (ถ้าจำเป็นต้องใช้ เพราะสายตาสั้น) รวมถึงควรใส่แว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวหนังรอบๆ ดวงตาไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้าย และเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องหยีตาหลบแดดอีกด้วย
ผิวสวยด้วยกรดผลไม้
เพราะกรดผลไม้ช่วยลอกเซลล์ของชั้นผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไป จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยจางๆ และริ้วรอยลึกๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยรอบๆ ดวงตา โดยมีหลักฐานชิ้นใหม่แสดงว่า กรดผลไม้ที่มีความ
เข้มข้นสูง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย
เปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นโกโก้
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2006 ใน the Journal of Nutrition รายงานว่า โกโก้มีสารประกอบ flavonol 2 ชนิด คือ เอพิคาเตซิน และคาเตซิน ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดด ทำให้การหมุนเวียนของเลือดเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียนมากขึ้น
อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป
แพทย์ผิวหนังบอกว่า น้ำประปาจะรบกวนน้ำมันที่ผิวหนังสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดริ้วรอย ดังนั้นการล้างหน้าบ่อยๆ จะล้างสิ่งที่ปกป้องผิวหนังออกไป เว้นแต่ว่าสบู่ที่คุณใช้จะมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยปกป้องผิว จึงขอแนะนำให้ใช้เคลนเซอร์ล้างหน้าแทนสบู่
ใช้วิตามินซีชนิดทา
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tulane และผลการศึกษาจากที่อื่นพบว่า วิตามินซีสมารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีเอและยูวีบี ทำให้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอลดลง รวมถึงทำให้ภาวะผิวหนังอักเสบมีอาการดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิตามินซีที่ใช้ด้วย ปัจจุบันผลการวิจัยส่วนมากพบว่า กรดแอล-เอสคอร์บิก สามารถลดริ้วรอยได้มากที่สุด
กินถั่วเหลืองมากขึ้น
ผลการวิจัยแสดงว่า ถั่วเหลืองอาจจะช่วยปกป้องหรือเยียวยาผิวที่ถูกแสงแดดทำร้ายได้ โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน The European Journal of Nutrition รายงานว่าอาหารเสริมที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบพื้นฐานชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิตามินต่างๆ โปรตีนจากปลา และสารสกัดจากชาขาว เมล็ดองุ่น และมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบด้วย ช่วยทำให้โครงสร้างของผิวดีขึ้นภายใน 6 เดือน
ดูแลผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
ถ้าคุณต้องการรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ควรเริ่มต้นการดูแลอย่างถูกต้อง ด้วยวิธีที่คุณอาจจะเคยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยทำเลย ดังนี้
•หลีกเลี่ยงแสงแดด
•ทาครีมกันแดด
•ไม่สูบบุหรี่
•บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
เพียงเท่านี้คุณก็บอกลาริ้วรอยบนใบหน้าของคุณไปได้เลยล่ะค่ะ
ผิวแพ้ง่ายควรดูแลอย่างไร
ผิวแพ้ง่ายดูแลยังไง ง่ายหรือยาก ไปหาคำตอบกัน
ปัจจุบันนี้เราจะพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องของผิวแพ้ง่าย ใช้อะไรก็แพ้ไปหมด จนไม่กล้าใช้อะไรกับผิวหน้า ...
ลองมาดูกันว่าต้นเหตุของปัญหาว่าเกิดจากอะไร และเราจะแก้ปัญหาผิวแพ้ง่ายหรือ อาการระคายเคืองต่าง ๆ ได้อย่างไร รวมถึงวิธีการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพผิวอย่างถูกต้อง
คุณผู้หญิงหลายคนเข้าใจว่าผิวแพ้ง่ายและผิวระคายเคืองเป็นเรื่องเดียวกัน พอผิวมีอาการระคายเคืองก็เหมารวมไปว่าเป็นคนผิวแพ้ง่ายไว้ก่อน ซึ่งความจริงแล้วอาจเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาระคายเคืองที่เกิดจากส่วนผสมบางอย่างในตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้ในน้ำหอม สารกันเสียในเครื่องสำอาง น้ำยาย้อมผม เท่านั้น ดังนั้นเราควรทราบข้อมูลสำหรับผิวแพ้ง่าย และผิวระคายเคือง เพื่อหาวิธีดูแลผิวให้ดีขึ้น
วิธีการเริ่มใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
1.เริ่มใช้เครื่องสำอางทีละอย่างก่อน ไม่ว่าตอนซื้อจะซื้อมากี่ชนิด อย่างน้อย 2 - 3 วัน
2.ถ้าไม่มีอาการระคายเคือง หรือผื่นแดง ค่อยเริ่มใช้ชิ้นที่สอง ต่ออีก 2 - 3 วัน
3.ถ้าใช้แล้วมีผื่นแดง คัน ให้สังเกตว่าเริ่มมีผื่นแดงเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นใด และควรหยุดใช้ แล้วปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
การทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (Patch Test)
เป็นวิธีการทดสอบอาการแพ้สารเคมีที่ทำให้เกิดผื่นแพ้ผิวหนังจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องสำอาง น้ำหอม ครีมทาผิว เสื้อผ้า โลหะ เครื่องประดับ เกสรดอกไม้ แมลง ฝุ่น ฯลฯ ซึ่งหากเราสงสัยว่าแพ้สารตัวใด ก็สามารถนำมาทดสอบได้ โดยเจ้าหน้าที่ทดสอบจะนำสารที่ผู้ป่วยนำมารวมทั้งสารที่แพทย์เลือกชนิดที่คาดว่าจะสัมพันธ์กับอาการผื่นแพ้ เป็นสารที่เราสัมผัสบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันหรือเป็นสารประกอบหลักในเครื่องสำอางโดยมีความเข้มข้นเหมาะสมสำหรับการทดสอบโดยไม่มีผลข้างเคียง เริ่มด้วยการหยอดสารลงในแผ่นหลุมอลูมิเนียม (Finn Chamber) แล้วแปะพลาสเตอร์ที่แผ่นหลังส่วนบนเพราะเป็นส่วนที่มีปฏิกิริยาต่อการแพ้ได้มากที่สุด
โดยพยายามรักษาบริเวณที่ทดสอบให้แห้ง หลังจาก 48 ชั่วโมงจึงดึงเทปทดสอบออก สามารถโดนน้ำได้แต่ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณที่ได้รับการทดสอบ จากนั้นไปพบแพทย์เพื่ออ่านผล บริเวณที่แพ้จะมีผื่นแดง คัน อย่างไรก็ตามผื่นเหล่านี้อาจเกิดจากการระคายเคืองก็ได้ ซึ่งหากเกิดอาการแพ้รุนแรงแพทย์ก็จะทำการรักษาให้หายต่อไป
สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่าแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ สามารถลองทดสอบด้วยตนเองก่อนอย่างง่าย ๆ ด้วยวิธี Open Test โดยการทาผลิตภัณฑ์ที่ท้องแขนทุกเช้าเย็นหลังอาบน้ำ หากเกิดผื่นขึ้นภายใน 7 - 10วัน ควรกลับมาพบแพทย์เพราะแสดงว่ามีโอกาสแพ้ได้
แนวทางการรักษา
ขึ้นอยู่กับลักษณะการแพ้ของแต่ละคน สำหรับการแพ้ระคายเคือง ต้องรักษาพื้นฐานผิวให้แข็งแรงก่อน การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เครียด หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว อาการแพ้สัมผัสนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้เหล่านี้เท่านั้น การแพ้อาจยังไม่เห็นผลในทันที แต่เกิดจากการสะสมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดอาการแพ้ในที่สุด
จะเลือกผลิตภัณฑ์อย่างไร
โดยปกติเครื่องสำอางจะมีค่ามาตรฐานของส่วนผสมแต่ละชนิดและส่วนใหญ่จะมีการทดสอบอาการแพ้ก่อน ซึ่งอาจจะทดสอบในทุกขั้นตอนการผลิต หรือทดสอบเฉพาะสารพื้นฐานบางชนดที่มีความเสี่ยงต่ออาการแพ้
ระคายเคือง (Dermatological Test) ดังนั้นผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากสีและกลิ่น โดยใช้วิธี Open Test ที่ท้องแขนก่อน หรือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำ Patch Test เพราะเราอาจจะกำลังสะสมสารที่แพ้อยู่โดยไม่รู้ตัวจนกว่าจะปรากฏอาการแพ้ให้เห็นชัดเจน
การปกป้องผิวให้แข็งแรง ปลอดภัยจากอาการระคายเคือง
•อย่าอยู่ในห้องนอนที่มีพรม หนังสือ หรือเอกสาร เพราะเป็นแหล่งสะสมของฝุ่น
•เลือกใช้ผ้าปูที่นอนชนิดกันไรฝุ่น
•อย่านอนในตำแหน่งที่โดนลมจากเครื่องปรับอากาศเพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง
•รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำมาก ๆ
•งดทานอาหารรสจัด ของหวานและของทอด
•เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม และส่วนผสมที่มีสารออกฤทธิ์เข้มข้นมากเกินไป
•บำรุงผิวให้ชุ่มชื่นและปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ
•ไม่ควรล้างหน้าบ่อยและน้ำไม่ควรร้อนเกินไป
•ควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ปราศจากน้ำหอม หากยังระคายเคืองอยู่แสดงว่าอาจแพ้สารประกอบอื่น ๆ ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อทดสอบต่อไป
•หลีกเลี่ยงลิปสติกชนิดติดทนนาน (Long-lasting) ควรเลือกชนิดที่ให้ความชุ่มชื้นสูง
•อ่านฉลากและส่วนผสมก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกรณีที่รู้ว่าแพ้สารตัวใด
--------------------------------------------------------------------------------
ครีมบำรุงผิวหน้ากับผิวกายแตกต่างกันอย่างไร
ครีมบำรุงผิวที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีมากมายหลายยี่ห้อที่คุณให้เลือกซื้อ แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมคะว่า ครีมบำรุงผิวกาย และครีมบำรุงผิวหน้านั้นสามารถใช้ด้วยกันได้หรือเปล่า วันนี้เราข้อมูลดีๆ มาบอกกันคะ ครีมบำรุงผิวหน้า และผิวกาย แตกต่างกันยังไง? ครีมบำรุงผิว ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะพบหลากหลายมากมายจนผู้บริโภคเลือกซื้อไม่ถูก เฉพาะชนิดที่บำรุงผิวหน้า มีทั้ง เดย์ครีม และ ไนท์ครีม ส่วนครีมบำรุงผิวกายนั้นก็มีหลากหลายให้เลือก เราจะแนะนำให้ผู้อ่านเข้าใจองค์ประกอบของครีมบำรุงชนิดต่าง ๆ เพื่อจะได้เลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริงโดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อสินค้าที่แพงเกินความจำเป็น ผิวหนังตามลำตัวของคนเราจะมีความหนากว่าผิวหน้ามากมาย ทำให้มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมและไม่แพ้ง่ายต่อสารเคมี ดังนั้นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวกายโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวหน้า ในทางตรงกันข้าม สารเคมีทุกชนิดที่จะถูกคัดเลือกมาเป็นองค์ประกอบของครีมบำรุงผิวหน้าจะต้องผ่านขบวน การทดสอบว่า ไม่แพ้ง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ องค์ประกอบหลายชนิดที่ใช้สำหรับครีมบำรุงผิวกายจะไม่สามารถใช้ในครีมบำรุงผิวหน้าได้เลย จึงเป็นเหตุให้ครีมบำรุงผิวหน้ามีราคาแพง อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคท่านใดที่ไม่แพ้ง่าย สามารถทดลองนำครีมบำรุงผิวกายที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำมาทาผิวหน้า โดยเริ่มทาบริเวณข้างแก้ม ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที หากพบว่าไม่มีอาการแดง หรือคันใด ๆ แสดงว่าท่านสามารถใช้ครีมทาผิวกายมาใช้ทาผิวหน้าได้เช่นกัน เนื่องจากประโยชน์ที่ได้จะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ครีมบำรุงจะทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติ แต่ผู้ที่มีอาการแพ้ควรจะหยุดใช้โดยทันที โดยทั่วไป องค์ประกอบของ ครีมบำรุงผิวจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนที่เป็นน้ำและส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมัน ส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมัน จะทำหน้าที่สำคัญ คือทำหน้าที่เคลือบผิวหนังเพื่อลดการสูญเสียความชื้นของผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังนุ่มนวล และยังทำหน้าที่ทดแทนน้ำมันธรรมชาติที่ถูกชะล้างออกไประหว่างการอาบน้ำ อีกด้วย องค์ประกอบของส่วนน้ำมันและไขมันนี้ มีทั้งชนิดที่สกัดได้จากธรรมชาติ ทั้งจากพืชและจากสัตว์ และได้จากการสังเคราะห์ โดยทั่วไปครีมบำรุงผิวกาย องค์ประกอบในส่วนของน้ำมันและไขมัน มักจะเป็นชนิดสังเคราะห์เป็นส่วนมาก เนื่องจากราคาไม่แพงและมักจะไม่เหม็นหืน แต่หากเป็นองค์ประกอบที่ได้จากพืช มีข้อดีมากมายเนื่องจากมีสารไวตามินและแร่ธาตุโดยธรรมชาติอย่างละเล็กละน้อยเป็นองค์ประกอบซึ่งให้คุณค่าต่อผิวได้ดี แต่มีราคาแพง โดยทั่วไปมักจะพบน้ำมันสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้ในครีมบำรุงผิวหน้า สำหรับเดย์ครีม เป็นครีมบำรุงผิวหน้า สำหรับทาตอนกลางวัน โดยทั่วไปผู้ผลิตมักจะมีการใส่สารกันแดด เพื่อปกป้องผิวหน้าจากรังสียูวีในระหว่างวัน จึงเหมาะสำหรับทากลางวัน แต่สำหรับไนท์ครีม เป็นครีมบำรุงผิว หน้าที่ผู้ผลิตออกแบบมาเพื่อใช้ทาผิวหน้าตอนกลางคืนก่อนนอน บางยี่ห้อ อาจจะเป็นเพียงครีมบำรุงผิวชนิดพื้น ๆ กล่าวคือมีสารให้ความชุ่มชื้นผิว และสารน้ำมันเพื่อเคลือบผิวเท่านั้น ถ้าเป็นกรณีนี้สามารถนำไปใช้ทาผิวตอนกลางวันได้ ไนท์ครีมบางยี่ห้อก็อาจจะมีการเติมสารส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมันมากเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก และผู้ที่นอนในห้องปรับอากาศซึ่งอากาศจะแห้งมากกว่า ปกติ ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการเติมสารโปรตีนชนิดคอลลาเจน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหน้า ซึ่งสามารถใช้ทาหน้าได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนได้อย่างปลอดภัย แต่ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการใส่กรดวิตามินเอ หรือ เรตินอล ซึ่งสารดังกล่าวจะไวต่อแสงมาก จึงควรที่ผู้บริโภคจะใช้ทาเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น หากนำมาทาตอนกลางวัน ผิวหน้าได้รับแสงแดด จะมีอาการแพ้ได้ ง่าย เช่น มีอาการแดง คัน แสบ ผิวหน้าจะลอกได้ เป็นต้น ข้อแนะนำที่สำคัญ คือ ผู้บริโภคควรจะอ่านรายละเอียดของฉลาก เพื่อจะได้เลือกซื้อและเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการได้
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

