smile easy
Healthcare easily with your
เวลาว่างก็ร้องเพลงกันไป 😊😊
ฟังฉันร้องเพลง "เธอ [Guitar คีย์ผู้หญิง]" ที่ #Smule: http://www.smule.com/p/741876567_1874997553 #SingKaraoke
โกจิเบอร์รี่มีอะไรดีๆ กว่าที่คิด 😁😁
โกจิเบอร์รี หรือเก๋ากี้ สมุนไพรจีนที่ถูกเรียกขานว่ายาอายุวัฒนะ ล่าสุดแว่ว ๆ ว่าโกจิเบอร์รีก็ช่วยลดน้ำหนักได้ เฮ้ย…จริงอะ ?!
ต้องบอกว่ากระแสลดน้ำหนัก ปลุกให้คนหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น อย่างอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักได้ ก็ถูกค้นพบและลิ้มลองกันมาเรื่อย ๆ โดยโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันค่ะ ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะขอนำโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้มาสาธยายกันหมดเปลือก ให้ได้รู้ประโยชน์ของโกจิเบอร์รีครบทุกประเด็นสงสัย โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้ เท็จจริงแค่ไหนมาดู
โกจิเบอร์รี รู้จักกันหน่อย
โกจิเบอร์รี (GOJI BERRY) นี่คือชื่อในวงการอินเตอร์ค่ะ แต่แท้จริงแล้วโกจิเบอร์รีก็คือเก๋ากี้ สมุนไพรจีนที่มีมานานเป็นประวัติกาลเลยทีเดียว โดยโกจิเบอร์รีเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี มีสรรพคุณเด่น ๆ ที่คนในแถบเอเชียรู้จักกันดีในเรื่องความอุดมไปด้วยสารอาหารมากที่สุด
นอกจากนี้ผลการวิจัยของ Dr.Earl Mindell ยังช่วยตอกย้ำความจริงที่ว่า ผลโกจิเบอร์รีให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก โดยมีกรดอะมิโน 19 ชนิด มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการรวม 21 ชนิด ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม (ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง) มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 และวิตามินอี ช่วยปรับความดันโลหิตให้เป็นปกติ และช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น

โกจิเบอร์รี เพื่อการลดน้ำหนัก ช่วยได้มากน้อยแค่ไหน
Dr.Earl Mindell ได้ค้นคว้าประโยชน์ของโกจิเบอร์รีแล้วพบว่า โกจิเบอร์รีช่วยเปลี่ยนอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นพลังงานแทนไขมัน ดังนั้นจะบอกว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้ก็ไม่ผิดนัก
อีกทั้งโกจิเบอร์รียังอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิดอย่างที่กล่าวไปข้างต้น จึงนับเป็นซูเปอร์ฟู้ด ชนิดหนึ่งที่ให้พลังงานกับร่างกายได้เต็มเปี่ยม นอกจากนี้โกจิเบอร์รียังมีรสหวานจากกลูโคส และมีไฟเบอร์สูงพอสมควร จึงช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เราไม่รู้สึกหิวจุบจิบ แถมไฟเบอร์ที่มีอยู่ก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความอยากอาหารสารพัดอย่าง และช่วยลดปริมาณอาหารที่จะกินในมื้อต่อ ๆ ไปได้
มาถึงตรงนี้ ประเด็นที่ว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหมก็คงได้คำตอบกันไปแล้วนะคะ แต่นอกจากประโยชน์ในเรื่องลดความอ้วนแล้ว โกจิเบอร์รียังมีประโยชน์ตามนี้อีกด้วย

โกจิเบอร์รี หรือเก๋ากี้ สรรพคุณเด่น ๆ จากผลไม้สีแดง
เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้มีความสุข
จากผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Alternative and Complementary Medicine เมื่อปี 2008 พบว่า อาสาสมัครที่ดื่มน้ำโกจิเบอร์รีเป็นประจำ นาน 15 วัน มีแนวโน้มสุขภาพแข็งแรงขึ้น อธิบายให้ชัดคือรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากกว่าที่เคยเป็น นอนหลับได้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นด้วย
ซึ่งเมื่อทดลองดื่มน้ำโกจิเบอร์รีต่อไปเรื่อย ๆ ก็ค้นพบว่า กลุ่มอาสาสมัครมีความเครียดน้อยลง ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าลดลง ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และมีแนวโน้มความสุขสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ดื่มน้ำโกจิเบอร์รีเป็นประจำ
ปกป้องผิวจากรังสียูวี
ผลการทดลองกับหนูที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Photochemical and Photobiological Sciences ปี 2010 พบว่า หนูที่กินน้ำโกจิเบอร์รีจะมีแนวโน้มต้านรังสียูวีและการอักเสบที่เกิดจากรังสียูวีแผดเผาได้มากกว่าหนูที่ไม่ได้กินน้ำโกจิเบอร์รี
ทั้งนี้นักวิจัยได้อ้างผลการศึกษาไว้ว่า อาจเป็นเพราะสารต้านอนุมูลอิสระในผลโกจิเบอร์รี ที่มีส่วนช่วยปกป้องและรักษาผิวจากรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บำรุงสายตา
โกจิเบอร์รีมีสารทัวรีน (Taurine) ซึ่งผลการศึกษาจาก Optometry and Vision Science เมื่อปี 2011 พบว่า สารทัวรีนมีคุณสมบัติบำรุงสายตาให้แจ่มใส โดยเฉพาะสายตาของผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาสายตาอันสืบเนื่องมาจากโรคเบาหวาน

ต้านเซลล์มะเร็ง
ด้วยความที่โกจิเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงสามารถปกป้องเซลล์ร่างกายจากการถูกทำลายด้วยเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระของโกจิเบอร์รียังช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เกิดการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากความเสื่อมต่าง ๆ และป้องกันการเกิดเนื้องอกได้อีกด้วยนะคะ
โดยทั้งหมดนี้เราก็ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอย ๆ แต่ยืนยันด้วยผลการศึกษาจากวารสาร Agricultural and Food Chemistry เมื่อปี 2008 ต่างหากจ้า
มีประโยชน์ต่อตับ และป้องกันอัลไซเมอร์
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology พบว่า ผลโกจิเบอร์รีช่วยลดความเสียหายของตับในหนูทดลองที่ได้รับสารเคมีที่เป็นพิษลงได้ โดยนักวิจัยคาดว่าคุณสมบัติในการป้องกันนี้อาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระในโกจิเบอร์รีนั่นเอง
นอกจากนี้การศึกษาเบื้องต้นในสัตว์ทดลองยังพบว่า โกจิเบอร์รีอาจช่วยให้น้ำตาลในเลือดสมดุล และนักวิจัยคาดว่านี่ยังอาจช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้ด้วย
โกจิเบอร์รี กินอย่างไร
แต่เดิมคนจีนมักจะนำโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ไปใส่ในซุป ใส่ลงไปในถ้วยชา เพราะส่วนมากแล้วเราจะเห็นโกจิเบอร์รีในรูปแบบอบแห้งมากกว่าผลสด ๆ จึงต้องนำโกจิเบอร์รีอบแห้งไปแช่หรือผสมในอาหารประเภทน้ำ ๆ หรือเหล่าเครื่องดื่มอย่างชา ไวน์ น้ำผลไม้ปั่น เป็นต้น
ทว่าจริง ๆ แล้วโกจิเบอร์รีก็มีความคล้ายคลึงกับลูกเกดไม่น้อยนะคะ อีกทั้งปัจจุบันก็มีโกจิเบอร์รีอบแห้งที่สามารถกินเล่นเพลิน ๆ วางจำหน่ายแล้วด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหากจะนำโกจิเบอร์รีไปผสมกับโยเกิร์ต สลัด ขนมปังปิ้ง หรือในซีเรียลก็ได้เช่นกัน หรือใครจะลองหาซื้อน้ำโกจิเบอร์รีสำเร็จรูปมาดื่มก็สะดวกดี

โกจิเบอร์รี ซื้อที่ไหน
ณ จุดนี้เรามีโกจิเบอร์รีวางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้วล่ะค่ะ ลองเดินหาแถบ ๆ ชั้นที่มีลูกเกดวางขาย หรือถ้าไม่เจอจะลองไปโซนอาหารแถบ ๆ เครื่องเทศ เครื่องปรุงยาจีนก็น่าจะมีอยู่ ส่วนสนนราคาก็ไม่แพง มีตั้งแต่โกจิเบอร์รี ราคา 30 บาทขึ้นไป แล้วแต่ปริมาณที่จะซื้อ และร้านค้าที่ไปซื้อนะคะ
โกจิเบอร์รี กินแค่ไหนถึงจะดี ?
อย่างที่บอกว่าปัจจุบันนี้มีโกจิเบอร์รีในรูปผลไม้อบแห้ง ซึ่งกินเล่นได้สบาย ๆ ดังนั้นหลายคนอาจกังวลว่าจะบริโภคโกจิเบอร์รีมากเกินความพอดีหรือเปล่า ซึ่งปริมาณที่ควรบริโภคโกจิเบอร์รีควรจะอยู่ที่ 6-18 กรัมต่อวัน ส่วนน้ำโกจิเบอร์รีก็ไม่ควรดื่มเกินวันละ 4 ออนซ์ (ประมาณ 118 มิลลิลิตร) นะคะ และอย่าลืมบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามสัดส่วนที่พอดีด้วย
ทั้งนี้ก่อนรับประทานโกจิเบอร์รีอาจต้องลองปรึกษาแพทย์ก่อนด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต หรือผู้ที่กินยาบางอย่างเป็นประจำ เพราะโกจิเบอร์รีอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวยาบางชนิดได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตและยาขยายหลอดเลือด เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
livestrong
WebMd
Healthline
www.kapook.com
ลดน้ำหนักแบบกล้วยๆ 😊😊
กินกล้วยแล้วได้อะไร? : สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่
1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใยอาหาร (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย
ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า : วิธีปฏิบัติ
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใยอาหาร (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย
ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า : วิธีปฏิบัติ
1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว เป็นต้น ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
2. เครื่องดื่มที่ดื่มควบคู่กับกล้วยหอมตอนเช้าคือน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
3. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป
4. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ซึ่งการกินข้าวเย็นแต่เร็ววัน ถึงแม้จะกินเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
6. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ พยายามนอนก่อนเที่ยงคืนให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้าซึ่งจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพผอมได้ง่าย
7. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนรู้สึกทรมาน การไดเอ็ทจะไม่ได้ผล
8.จดบันทึกไดเอ็ทไดอารี่ให้เป็นนิสัย และเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจอย่างหนึ่ง
2. เครื่องดื่มที่ดื่มควบคู่กับกล้วยหอมตอนเช้าคือน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
3. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป
4. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ซึ่งการกินข้าวเย็นแต่เร็ววัน ถึงแม้จะกินเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
6. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ พยายามนอนก่อนเที่ยงคืนให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้าซึ่งจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพผอมได้ง่าย
7. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนรู้สึกทรมาน การไดเอ็ทจะไม่ได้ผล
8.จดบันทึกไดเอ็ทไดอารี่ให้เป็นนิสัย และเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจอย่างหนึ่ง
กินกล้วยหอม 2-4 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตามจนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า ที่มาที่ไปของสูตรลดความอ้วนด้วยกล้วยนั้น มาจากเภสัชกรนางหนึ่ง ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับสามีที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผลจากสูตรนี้ทำให้ลดน้ำหนักลงได้ถึง 16.6 กิโลกรัม เธอจึงแนะนำสูตรนี้ลงบน MIXI ชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และมียอดขายถล่มทลายขายเกิน 1 ล้านเล่มในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการแปลในหลายภาษา
ที่มา: หนังสือ “Asa Banana Diet” โดย “ฮามาจิ” เว็บไซต์ www.asabanana.net
ผิวขาว สวย ใส ทำได้ไม่ยากเลย ภายใน 1 อาทิตย์
วิธีทำให้ผิวขาวเร็วภายใน 1 อาทิตย์ จะต้องทำวิธีไหนถึงจะได้ผลและปลอดภัย กระปุกดอทคอมคอมมีเคล็ดลับมาบอกค่ะ
อากาศร้อน ๆ แสงแดดแรง ๆ แบบนี้ ออกนอกบ้านแป๊บเดียวบอกเลยว่าแทบไหม้ !! แต่ถ้าหากร้อนอย่างเดียวคงไม่เท่าไร แต่พาลทำให้ผิวดำคล้ำเสียด้วยนี่สิมันช่างทำให้รู้สึกแย่แบบสุด ๆ กลับกลายเป็นว่าบำรุงผิวขาวมาตั้งนมนาน หมดสวยกันก็คราวนี้แหละ เอาเป็นว่าถ้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ก็อย่ามัวแต่ปล่อยให้ผิวดำคล้ำเสียนาน ๆ กันอยู่เลยค่ะ รีบมาหาวิธีทำให้ผิวขาวเร็ว ๆ กันดีกว่า นั่นแน่... ได้ยินแบบนี้แล้วอดใจรอไม่ไหว อยากจะเร่งให้ผิวขาวเร็ว ๆ กันแล้วใช่ไหมล่ะคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาทำตามเคล็ดลับที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันเลยดีกว่า วิธีนี้แหละช่วยได้แน่นอน
ใช้ไวท์เทนนิ่งสูตรเข้มข้น โดยให้เลือกใช้ไวท์เทนนิ่งสูตรเข้มข้นที่ออกฤทธิ์ในระยะสั้น ๆ และควรเลือกใช้สูตรเซรั่ม เพราะจะสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี โดยให้ทาเยอะ ๆ ทั้งเช้าและเย็น จะทำให้ผิวของคุณขาวได้เร็วยิ่งขึ้น
ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน ก่อนออกจากบ้านให้ทาครีมกันแดด SPF สูง ๆ ตั้งแต่ 50+ ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แสงแดดมาทำลาย รวมถึงใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวเข้าไว้เพื่อปกป้องผิวอีกชั้นหนึ่ง
พอกผิวด้วยโยเกิร์ต โดยให้นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ มาพอกผิวทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออก ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ผิวไหม้คล้ำเสียจากแดดอาการดีขึ้น ที่สำคัญยังจะช่วยบำรุงให้ผิวขาวและสดใสเนียนนุ่มขึ้นด้วย
สครับผิวด้วยมะขามเปียก ใน 1 อาทิตย์ ให้ทำอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป โดยให้นำเนื้อมะขามเปียกผสมกับนมสดให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว แล้วนำมาขัดให้ทั่วทั้งตัว ทาวนเพียงเบา ๆ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด
รับประทานวิตามินซี อย่างน้อยต้องรับประทานวิตามินซีให้ได้ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยปรับผิวให้ขาวใสขึ้นและช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรงสามารถทนแดดได้ดียิ่งขึ้นด้วย
เน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักสดและผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน จะช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวสว่างใสเป็นธรรมชาติได้จากภายใน และยังช่วยปกป้องผิวหมองคล้ำจากแดดได้ดี
ดื่มน้ำบ่อย ๆ ในหนึ่งวันต้องพยายามดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 7-8 แก้ว เพราะน้ำมีส่วนในการช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้นและขาวใสขึ้นได้
และนี่ก็คือวิธีฟื้นฟูผิวให้ขาวสว่างใสขึ้นได้ภายใน 1 อาทิตย์ รับรองเลยว่าแค่คุณสาว ๆ ปฏิบัติตามวิธีที่กระปุกดอทคอมแนะนำไปนี้อย่างเคร่งครัด แค่ 7 วัน รับรองเห็นผลแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม !
แต่ถ้าสาวๆ ต้องการเห็นผลระยะยาวผลิตภัณฑ์แนวอาหารเสริมก็สามารถช่วยได้นะค่ะ
คลิกลิ้งค์ >>>
http://www.salefestival.com/affilate.php?url=http://www.salefestival.com/P80/&affilate=offer121AF2816
อากาศร้อน ๆ แสงแดดแรง ๆ แบบนี้ ออกนอกบ้านแป๊บเดียวบอกเลยว่าแทบไหม้ !! แต่ถ้าหากร้อนอย่างเดียวคงไม่เท่าไร แต่พาลทำให้ผิวดำคล้ำเสียด้วยนี่สิมันช่างทำให้รู้สึกแย่แบบสุด ๆ กลับกลายเป็นว่าบำรุงผิวขาวมาตั้งนมนาน หมดสวยกันก็คราวนี้แหละ เอาเป็นว่าถ้าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ ก็อย่ามัวแต่ปล่อยให้ผิวดำคล้ำเสียนาน ๆ กันอยู่เลยค่ะ รีบมาหาวิธีทำให้ผิวขาวเร็ว ๆ กันดีกว่า นั่นแน่... ได้ยินแบบนี้แล้วอดใจรอไม่ไหว อยากจะเร่งให้ผิวขาวเร็ว ๆ กันแล้วใช่ไหมล่ะคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาทำตามเคล็ดลับที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันเลยดีกว่า วิธีนี้แหละช่วยได้แน่นอน
และนี่ก็คือวิธีฟื้นฟูผิวให้ขาวสว่างใสขึ้นได้ภายใน 1 อาทิตย์ รับรองเลยว่าแค่คุณสาว ๆ ปฏิบัติตามวิธีที่กระปุกดอทคอมแนะนำไปนี้อย่างเคร่งครัด แค่ 7 วัน รับรองเห็นผลแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม !
แต่ถ้าสาวๆ ต้องการเห็นผลระยะยาวผลิตภัณฑ์แนวอาหารเสริมก็สามารถช่วยได้นะค่ะ
คลิกลิ้งค์ >>>
http://www.salefestival.com/affilate.php?url=http://www.salefestival.com/P80/&affilate=offer121AF2816
การป้องกันสิวไม่ให้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง
การป้องกันสิวไม่ให้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง
ถ้าหากคุณสาวๆ ไม่อยากเป็นสิว โปรดงดพฤติกรรม และปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังต่อไปนี้
1. ห้ามแต่งหน้าแล้วล้างหน้าโดยไม่ใช้คลีนชิ่ง การล้างเครื่องสำอางโดยน้ำเปล่า ยังทำให้ยังหลงเหลือคราบเครื่องสำอางอยู่ตามรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวบุก สิวผด
2. การไม่ล้างหน้าก่อนนอน และการไม่อาบน้ำก่อนนอน จะส่งผลให้เกิดสิวขึ้นที่ใบหน้าและหลัง
3. ควบคุมเรื่องอาหารการกิน อาหารต้องห้ามสำหรับคนที่เป็นสิว ได้แก่ อาหารรสจัด ของหวาน ของมัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาหารทะเล ซึ่งควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ อย่ารับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เพราะอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้น
4. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ การดื่มน้ำสะอาดในจำนวนที่เพียงพอต่อความร่างกายในแต่ละวัน จะเป็นการช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย และช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
5. ทำความสะอาดผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน อยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสกับใบหน้า และร่างกายของเราเป็นเวลานานมากที่สุดในแต่ละวัน
1. ห้ามแต่งหน้าแล้วล้างหน้าโดยไม่ใช้คลีนชิ่ง การล้างเครื่องสำอางโดยน้ำเปล่า ยังทำให้ยังหลงเหลือคราบเครื่องสำอางอยู่ตามรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวบุก สิวผด
2. การไม่ล้างหน้าก่อนนอน และการไม่อาบน้ำก่อนนอน จะส่งผลให้เกิดสิวขึ้นที่ใบหน้าและหลัง
3. ควบคุมเรื่องอาหารการกิน อาหารต้องห้ามสำหรับคนที่เป็นสิว ได้แก่ อาหารรสจัด ของหวาน ของมัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาหารทะเล ซึ่งควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ อย่ารับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เพราะอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้น
4. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ การดื่มน้ำสะอาดในจำนวนที่เพียงพอต่อความร่างกายในแต่ละวัน จะเป็นการช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย และช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
5. ทำความสะอาดผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน อยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสกับใบหน้า และร่างกายของเราเป็นเวลานานมากที่สุดในแต่ละวัน
6. การเติมแป้งในระหว่างวัน โดยการใช้พัฟฟ์ที่สกปรก หรือไม่เคยทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้น
7. พยายามอย่ารบกวนผิวหน้า เช่น การบีบ กดสิว ขัดนวดใบหน้า เช็ดถูอย่างรุนแรง หรือบ่อยจนเกินไป เมื่อทำการล้างหน้าด้วยใช้ผ้าขนหนูซับใบหน้าเบาๆ ซึ่งจะอ่อนโยนกับผิวหน้ามากกว่า และการรักษาสิวโดยการขัดหน้านั้น มีข้อเสียคือจะทำให้หน้ามีความบางลงเรื่อยๆ เมื่อถูกแสงแดดจะเกิดอันตรายและยังเสี่ยงต่อการเกิดกระ หรือฝ้าได้ง่ายอีกด้วย
7. พยายามอย่ารบกวนผิวหน้า เช่น การบีบ กดสิว ขัดนวดใบหน้า เช็ดถูอย่างรุนแรง หรือบ่อยจนเกินไป เมื่อทำการล้างหน้าด้วยใช้ผ้าขนหนูซับใบหน้าเบาๆ ซึ่งจะอ่อนโยนกับผิวหน้ามากกว่า และการรักษาสิวโดยการขัดหน้านั้น มีข้อเสียคือจะทำให้หน้ามีความบางลงเรื่อยๆ เมื่อถูกแสงแดดจะเกิดอันตรายและยังเสี่ยงต่อการเกิดกระ หรือฝ้าได้ง่ายอีกด้วย
8. พักผ่อนให้เพียงพอ และควรนอนก่อน 5 ทุ่ม ยิ่งนอนดึกมากเท่าไหร่ สิวก็จะยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเท่านั้น
9. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว คนเราจะมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ถ้าหากคนที่มีผิวมันเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ใบหน้าก็จะยิ่งมีความมันที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้สิวมากขึ้นตามไปด้วย
10. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่อาจก่อให้เกิดสิว โดยเลือกใช้เครื่องสำอางแบบที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Noncomedogenic) หรือแบบที่ไม่มีไขมัน (Oil-Free) ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดสิวได้
11. อย่าใช้มือสกปรกไปจับหน้า และอย่าลืมล้างมือก่อนล้างหน้าทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเรากำลังนำน้ำล้างมือมาล้างหน้าเป็นการเพิ่มความสกปรกให้กับใบหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว
12. รักษาความสะอาดของร่างกาย ใบหน้า เส้นผม อย่าปล่อยให้ใบหน้าสกปรกจนมีไขมันอุดตันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ห้ามทำการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในทันที เพราะจะทำให้รูขุมขนปิดตัวลงโดยที่สิ่งสกปรกยังคงอุดตันอยู่ที่รูขุมขน ดังนั้นควรที่จะใช้ผ้าเช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าออกก่อน แล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด
13. อย่าล้างหน้าบ่อยจนเกินไป การล้างหน้าจนแห้ง รูขุมขนจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวหนังมาก จนอาจทำให้ยิ่งเกิดการอุดตันของรู้ขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวมากยิ่งขึ้น
14. อย่าแต่งหน้าเกินวันละ 10 ชั่วโมง ต่อวัน เพราะยิ่งพอกเครื่องสำอางเอาไว้บนหน้านานเท่าไหร่ รูขุมขนก็จะถูกอุดตันมากเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องสิวตามมา
15. ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ควรระวังอย่าทานอาหารทะเลติดต่อกันทุกวัน เป็นที่ทราบกันดีว่าการทานอาหารทะเลจำนวนมากจะกระตุ้นให้เกิดสิว แต่ถ้าหากกินในปริมาณปกติเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็จะยังสามารถขับออกได้ทัน
16. พยายามขับถ่ายทุกวัน การปลดถ่ายหนักช่วยขับกากของเสียออกจากร่างกาย สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกทำให้ไม่ค่อยสามารถขับถ่ายได้นั้น ให้ลองเปลี่ยนมาทานอาหารประเภทผักและผลไม้ ที่มีใยอาหารมากๆ ซึ่งจะมีผลช่วยให้ร่างกายมีการขับถ่ายที่ดีขึ้น
17. กำจัดความเครียด ถ้าหากสิวขึ้น แนะนำว่าให้ยิ้มสู้ เพราะยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ สิวก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
9. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว คนเราจะมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ถ้าหากคนที่มีผิวมันเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ใบหน้าก็จะยิ่งมีความมันที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้สิวมากขึ้นตามไปด้วย
10. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่อาจก่อให้เกิดสิว โดยเลือกใช้เครื่องสำอางแบบที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Noncomedogenic) หรือแบบที่ไม่มีไขมัน (Oil-Free) ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดสิวได้
11. อย่าใช้มือสกปรกไปจับหน้า และอย่าลืมล้างมือก่อนล้างหน้าทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเรากำลังนำน้ำล้างมือมาล้างหน้าเป็นการเพิ่มความสกปรกให้กับใบหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว
12. รักษาความสะอาดของร่างกาย ใบหน้า เส้นผม อย่าปล่อยให้ใบหน้าสกปรกจนมีไขมันอุดตันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ห้ามทำการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในทันที เพราะจะทำให้รูขุมขนปิดตัวลงโดยที่สิ่งสกปรกยังคงอุดตันอยู่ที่รูขุมขน ดังนั้นควรที่จะใช้ผ้าเช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าออกก่อน แล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด
13. อย่าล้างหน้าบ่อยจนเกินไป การล้างหน้าจนแห้ง รูขุมขนจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวหนังมาก จนอาจทำให้ยิ่งเกิดการอุดตันของรู้ขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวมากยิ่งขึ้น
14. อย่าแต่งหน้าเกินวันละ 10 ชั่วโมง ต่อวัน เพราะยิ่งพอกเครื่องสำอางเอาไว้บนหน้านานเท่าไหร่ รูขุมขนก็จะถูกอุดตันมากเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องสิวตามมา
15. ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ควรระวังอย่าทานอาหารทะเลติดต่อกันทุกวัน เป็นที่ทราบกันดีว่าการทานอาหารทะเลจำนวนมากจะกระตุ้นให้เกิดสิว แต่ถ้าหากกินในปริมาณปกติเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็จะยังสามารถขับออกได้ทัน
16. พยายามขับถ่ายทุกวัน การปลดถ่ายหนักช่วยขับกากของเสียออกจากร่างกาย สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกทำให้ไม่ค่อยสามารถขับถ่ายได้นั้น ให้ลองเปลี่ยนมาทานอาหารประเภทผักและผลไม้ ที่มีใยอาหารมากๆ ซึ่งจะมีผลช่วยให้ร่างกายมีการขับถ่ายที่ดีขึ้น
17. กำจัดความเครียด ถ้าหากสิวขึ้น แนะนำว่าให้ยิ้มสู้ เพราะยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ สิวก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นมาแล้วการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยรักษาสิวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผล นี้คืออีกหนึ่งวิธี
คลิกลิ้งค์ >>>
การบูชาบุพการีและขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรนั้นดีแท้
จากฐานะทางการเงินที่แย่มากๆ ก็ค่อยๆ ดีขึ้น เพราะได้รำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย กรรมที่ติดตัวมาเราไม่สามารถทำให้หายไปได้ แต่เราก็ยังขอให้มันทุเลาเบาบางลงได้บ้าง ด้วยอานิสงของการทำดี ปฏิบัติดี คิดดี และทุกๆ คืนที่สวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตา แต่นอกเหนือจากการสวดมนต์นั้น คือการสวดบูชาบุพการี ให้รำลึกว่าตัวเราได้ไปกราบเท้าท่าน ทำเช่นนี้ทุกคืน และสวดมนต์ขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวรทุกคืนเช่นกัน มันช่วยได้จริงๆ
เทคนิคการแต่งหน้าของสาว
คุณๆ ขา ทุกวันนี้เรา ยังคงแต่งหน้าด้วยวิธีเดิมๆ กันอยู่รึเปล่า ขนตาที่ดัดแล้วดัดอีก ดัดยังไงก็ไม่งอน คอนซีลเลอร์ใต้ตาที่ทายังไง ก็ยังเป็นหมีแพนด้าอยู่นั่น คอนทัวร์หน้ากี่ครั้ง มันก็กลายเป็นฟุ้งไปทั่วหน้า ไม่สวยเหมือนอย่างที่คิด คุณเคยรู้ไหมว่า กระดาษรองนั่งชักโครก สามารถใช้แต่งสวยให้คุณได้!? วันนี้ เรามี 7 เทคนิค แต่งหน้า ยังไงให้พุ่ง มาให้คุณรู้ก่อนใคร อ่านตอนนี้ รู้ตอนนี้ สวยตอนนี้ ถ้าไม่อยากสวยช้ากว่าคนอื่น อ่านโลดดดดดดดด….!!!!
1. ดัดขนตายังไง ให้งอนเด้งง่ายๆใช้กฎเดียวกันกับ ที่ดัดขนตาด้วยความร้อนล่ะค่ะ ลองเป่าวอร์ม อัพด้วยไดร์เป่าผมให้ที่ดัดขนตาร้อนกำลังดี ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิลดลงนิดหน่อย แล้วจึงค่อยดัด เพื่อให้ชัวร์ว่าจะไม่ทำให้เวลาดัดแล้วเราสะดุ้งไปเพราความร้อนเสียก่อน
2. วิธีทำให้ขนตาดูหนา
หลังจากคุณปัดมาสคาร่าเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่มาสคาร่าจะแห้ง ให้ใช้แปรงแตะๆ แป้งฝุ่น Translucent แล้วแต้มลงบนระหว่างเปลือกตากับโคนแพขนตา วิธีนี้จะช่วยให้ขนตาดูหนาขึ้นได้
3. ติดกาวขนตาด้วยกิ๊บสะอาด
เคยไหม ติดกาวบนขนตาปลอมแต่ละที ลำบ๊าก…ลำบาก เราขอแนะนำลองใช้ปลายกิ๊บที่ 2 ขาไม่เท่ากัน ทากาวลงบนขนตาปลอม จะช่วยจัดระเบียบกาวให้สม่ำเสมอ ไม่เลอะ และติดได้ง่ายค่ะ ปล. ขอแนะนำให้ให้ใช้กิ๊บสะอาด ไม่เป็นสนิม เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของดวงตาคู่สวยนะคะ
4. ทำลิปกลอสเอง ง่ายๆ
ใช้ผงพิกเม้นท์ที่มี ผสมกับ ปิโตรเลี่ยม เจล เท่านี้เราก็จะได้ลิปกลอสราคาประหยัดไว้ใช้แล้วล่ะค่ะ
5. รู้ยัง คอนซีลเลอร์ใต้ตา ทายังไงให้ถูกวิธี
การทาคอนซีลเลอร์ใต้ตาเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ จะช่วยปิดรอยคล้ำ และถูงใต้ตาได้อย่างดี ช่วยให้หน้าดูกระชับขึ้น เพราะขับให้จุดที่สว่างที่สุดคือใต้ตา ทำให้หน้าดูพุ่งๆๆๆๆ สวยแบบหยุดไม่ได้
6. รู้ป่ะ ? คอนทัวร์หน้ายังไงให้ถูกโซน
เคยคอนทัวร์ หน้า แล้วมัน กลายเป็นกระจายฟุ้งไปทั่วใบหน้าไหมคะ นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ทิศทางว่าจะคอนทัวร์ไปโซนไหนของหน้าได้บ้าง ลองใช้ด้ามยาวๆ ของแปรงแต่งหน้า,ดินสอหรือปากกามาทาบกับแนวแก้มของคุณตามรูป นั่นล่ะค่ะ แนวสำหรับบรอนเซอร์ให้แก้มตอบ ส่วนกรอบหน้าคุณก็สามารถปัดให้ฟุ้งได้ ขอแค่อย่าเข้ามาใกล้แนวด้าม Cheekbone นั่นก็พอ
7. กระดาษรองนั่งชักโครกนี่ล่ะ กระดาษซับมันอย่างดี
มันอาจจะดูตลก แต่นี่คือเรื่องจริงค่ะ ใช้งานได้จริง ไม่มีสลิง ไม่ใช้สตั๊นท์ เพราะผลิตจากกระดาษเนื้อเยื่อเดียวกัน ลองใช้กระดาษรองนั่งชักโครกสะอาดๆ สักแผ่น แล้วคุณจะเข้าใจที่เราบอก
นอกจากเทคนิคการแต่งหน้าที่ดีแล้ว การเลือกผลิตภัณฑ์ก็สำคัญเช่นกัน
สนใจผลิตภัณฑ์ความงาม...ที่นี้มีให้ท่านเลือกสรรค์
คลิก...
http://yoursmilebeauty.lnwshop.com
1. ดัดขนตายังไง ให้งอนเด้งง่ายๆใช้กฎเดียวกันกับ ที่ดัดขนตาด้วยความร้อนล่ะค่ะ ลองเป่าวอร์ม อัพด้วยไดร์เป่าผมให้ที่ดัดขนตาร้อนกำลังดี ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิลดลงนิดหน่อย แล้วจึงค่อยดัด เพื่อให้ชัวร์ว่าจะไม่ทำให้เวลาดัดแล้วเราสะดุ้งไปเพราความร้อนเสียก่อน
2. วิธีทำให้ขนตาดูหนา
หลังจากคุณปัดมาสคาร่าเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่มาสคาร่าจะแห้ง ให้ใช้แปรงแตะๆ แป้งฝุ่น Translucent แล้วแต้มลงบนระหว่างเปลือกตากับโคนแพขนตา วิธีนี้จะช่วยให้ขนตาดูหนาขึ้นได้
3. ติดกาวขนตาด้วยกิ๊บสะอาด
เคยไหม ติดกาวบนขนตาปลอมแต่ละที ลำบ๊าก…ลำบาก เราขอแนะนำลองใช้ปลายกิ๊บที่ 2 ขาไม่เท่ากัน ทากาวลงบนขนตาปลอม จะช่วยจัดระเบียบกาวให้สม่ำเสมอ ไม่เลอะ และติดได้ง่ายค่ะ ปล. ขอแนะนำให้ให้ใช้กิ๊บสะอาด ไม่เป็นสนิม เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของดวงตาคู่สวยนะคะ
4. ทำลิปกลอสเอง ง่ายๆ
ใช้ผงพิกเม้นท์ที่มี ผสมกับ ปิโตรเลี่ยม เจล เท่านี้เราก็จะได้ลิปกลอสราคาประหยัดไว้ใช้แล้วล่ะค่ะ
5. รู้ยัง คอนซีลเลอร์ใต้ตา ทายังไงให้ถูกวิธี
การทาคอนซีลเลอร์ใต้ตาเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ จะช่วยปิดรอยคล้ำ และถูงใต้ตาได้อย่างดี ช่วยให้หน้าดูกระชับขึ้น เพราะขับให้จุดที่สว่างที่สุดคือใต้ตา ทำให้หน้าดูพุ่งๆๆๆๆ สวยแบบหยุดไม่ได้
6. รู้ป่ะ ? คอนทัวร์หน้ายังไงให้ถูกโซน
เคยคอนทัวร์ หน้า แล้วมัน กลายเป็นกระจายฟุ้งไปทั่วใบหน้าไหมคะ นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ทิศทางว่าจะคอนทัวร์ไปโซนไหนของหน้าได้บ้าง ลองใช้ด้ามยาวๆ ของแปรงแต่งหน้า,ดินสอหรือปากกามาทาบกับแนวแก้มของคุณตามรูป นั่นล่ะค่ะ แนวสำหรับบรอนเซอร์ให้แก้มตอบ ส่วนกรอบหน้าคุณก็สามารถปัดให้ฟุ้งได้ ขอแค่อย่าเข้ามาใกล้แนวด้าม Cheekbone นั่นก็พอ
7. กระดาษรองนั่งชักโครกนี่ล่ะ กระดาษซับมันอย่างดี
มันอาจจะดูตลก แต่นี่คือเรื่องจริงค่ะ ใช้งานได้จริง ไม่มีสลิง ไม่ใช้สตั๊นท์ เพราะผลิตจากกระดาษเนื้อเยื่อเดียวกัน ลองใช้กระดาษรองนั่งชักโครกสะอาดๆ สักแผ่น แล้วคุณจะเข้าใจที่เราบอก
นอกจากเทคนิคการแต่งหน้าที่ดีแล้ว การเลือกผลิตภัณฑ์ก็สำคัญเช่นกัน
สนใจผลิตภัณฑ์ความงาม...ที่นี้มีให้ท่านเลือกสรรค์
คลิก...
http://yoursmilebeauty.lnwshop.com
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)












